วันศุกร์, มิถุนายน 29, 2550

ความเป็นไปของดอกไม้กลางเปลวแดด

ทุ่มกว่า เป็นช่วงเวลาที่การจราจรบนถนนสุขสวัสดิ์มีความคล่องตัวน้อยที่สุด และแม้ว่าจุดหมดระยะของการให้บริการของรถเมล์สาย 75 จะอยู่ในอีกไม่ถึงหลักสิบกิโลเมตรข้างหน้า แต่จำนวนผู้โดยสารก็ยังคงอยู่ในอัตราที่เกินจากจำนวนที่นั่งที่เตรียมไว้รองรับ โชคดีที่ฉันเป็นหนึ่งในจำนวนผู้โดยสารที่ได้นั่ง ความสะดวกสบายที่ได้รับมากกว่าคนอื่นอยู่นิดหน่อย ทำให้หลายสิบนาทีที่หมดเปลืองไปอย่างเปล่าประโยชน์บนท้องถนนไม่เลวร้ายนัก
ดูเหมือนความเร่งรีบในการเดินทางของแต่ละคน อันมีปลายทางอยู่ที่ที่พักซึ่งกระจุกซุกตัวอยู่ก้นขอบของกรุงเทพฯ จะทำให้สัญญาณไฟจราจรตรงทางแยกที่จะเลี้ยวเข้าสู่ถนนประชาอุทิศนิ่งอยู่ที่สีแดงนานกว่าช่วงเวลาอื่นๆในรอบวัน แม้ว่าหากต้องไปถึงที่หมายช้าจะไม่มีตัวเลขสีแดงตราหน้าบนบัตรลงเวลาว่าสายก็ตาม แต่ด้วยความเหน็ดเหนื่อยกับการออกไปทำงานหาเลี้ยงปากท้องนอกบ้าน ก็ทำให้รู้สึกอยากที่จะไปซะให้พ้นๆจากท้องถนนอันวุ่นวายและน่าอึดอัด
แต่ในเวลาแบบนี้ ยังมีอยู่หนึ่งคนที่ไม่มีทีท่ารีบร้อน
เด็กผู้ชายวัยประมาณสิบขวบในชุดอยู่บ้านมอมแมมกำลังยืนหัวเราะยิ้มหัวอยู่กับกระเป๋ารถเมล์สาวสูงวัยตรงประตูด้านหน้า ฉันนึกเดาไปตามภาพที่เห็นว่าแม่ลูกกำลังหยอกเล่นกัน เป็นความสุขและการกระชับความสัมพันธ์ในครอบครัวไปตามมีตามเกิดของชนชั้นล่าง ที่ต้องออกทำมาหาเลี้ยงชีพตั้งแต่เช้า จนเย็นย่ำค่ำแล้วก็ยังไม่เป็นอันได้กินอยู่อย่างพร้อมหน้า
แต่รอยยิ้มน้อยๆของฉันก็มีอันต้องเจื่อนจางลงเมื่อสัญญาณไฟได้เปลี่ยนไปเป็นสีเขียว
“เฮ้ย รถจะออกแล้ว จะไปด้วยกันเรอะ”เสียงที่ตะโกนแข่งกับเสียงเร่งเครื่องยนต์อย่างอารมณ์ดีของคนขับรถทำให้ฉันรู้ว่าความสัมพันธ์ที่ฉันคาดเดานั้นผิดไป เด็กชายก้มหน้าลงหยิบของในมืออีกข้างหนึ่งส่งให้กับกระเป๋ารถเมล์ก่อนจะกระโดดลงจากรถ
ตัวของฉันได้เดินทางถึงที่หมายนานแล้ว แต่หัวใจยังติดอยู่ที่ทางแยกไฟแดงนั้น คงเช่นเดียวกันกับเด็กชายคนที่ฉันไม่รู้จักชื่อที่ยังต้องใช้เวลาอยู่กับการเดินเร่ขายพวงมาลัยมะลิสดอยู่ตรงนั้นอีกนาน คงไม่สะเทือนใจนัก ถ้าหากไม่เห็นหลานชายวัยเดียวกันกำลังต่อล้อต่อเถียงอยู่กับพ่อแม่ ท่ามกลางกองของเล่นกระจัดกระจายเมื่อเดินเข้าบ้าน
เด็กผู้ชายคนนั้นจะมีสิทธิ์ร้องอุทธรณ์บ้างไหม ในวันที่เขารู้สึกไม่อยากออกมาช่วยพ่อแม่ทำมาหากินด้วยการเดินเร่ขายพวงมาลัย ในช่วงเวลาที่เขาควรจะได้นั่งเล่น ทำการบ้าน
ในขณะที่เด็กตัวเล็กๆคนหนึ่งกำลังดิ้นรนช่วยครอบครัวหารายได้เลี้ยงปากท้องอยู่กลางถนน เด็กอีกคนกลับดิ้นรนปฏิเสธข้าวเย็น เพื่อที่จะได้เล่นของเล่นอยู่กลางบ้าน
แตกต่างกันได้มากมายขนาดนี้ ทั้งที่อยู่ห่างจากกันแค่ไม่กี่ร้อยเมตร
อีกวันฉันออกจากบ้านตอนบ่ายโมงกว่า เป็นช่วงเวลาของการหยุดพักจากหน้าจอคอมพิวเตอร์ของพนักงานประจำ เป็นช่วงเวลาอันแสนสุขของนักเรียนทุกระดับชั้นที่จะได้วิ่งเล่นตามอำเภอใจ แม้ว่าระยะเวลาจะไม่ยาวนานนักแต่การได้ผละออกจากภาระหน้าที่ชั่วครู่ชั่วยามตอนพักกลางวันก็เป็นสิ่งที่ทุกๆคนรอคอย
แดดจ้าของเดือนเมษายนทำให้ยิ่งยากที่จะหาความรื่นรมย์ตามรายทาง แล้วความรื่นรมย์อันริบหรี่ของฉันก็มีอันต้องดับวูบลง เมื่อรถคันที่ฉันนั่งได้หักเลี้ยวออกจากถนนประชาอุทิศ
ตรงทางแยกที่ถนนสองเส้นตัดกันและบริเวณใกล้เคียงในระยะรัศมีร่วมห้าสิบเมตรนั้น นอกจากจะไม่มีสิ่งปลูกสร้างสาธารณะใดๆให้ผู้คนที่ต้องสัญจรผ่านไปมาได้พักอาศัยร่มเงาแล้ว ยังไม่มีวี่แววของปัจจัยขั้นพื้นฐานที่สิ่งมีชีวิตจำเป็นต้องใช้ในการยังชีพอีกด้วย แม้จะมีเงินสดปึกใหญ่อุ่นๆอยู่ในกระเป๋า ก็หาซื้อไม่ได้แม้กระทั่งน้ำเปล่าเพียงแก้วเดียว
แต่ยังมีหนึ่งชีวิตที่ต้องอยู่ตรงนั้น
มีเพียงเสาปูนสูงประมาณไม้บรรทัดเศษที่สร้างไว้เพื่อใช้ระบุหลักกิโลเมตรตรงเกาะกลางถนน ที่พอจะให้เด็กชายได้อาศัยร่มเงาด้วยการขดตัวพิงกับเสา ในทิศทางตรงข้ามกับดวงอาทิตย์ พื้นที่เพียงเท่านั้นไม่พอหรอกที่จะกำบังร่างกายเล็กๆของเขาให้พ้นจากแสงแดด หากแต่สายตาหม่นหมองที่จ้องมองพวงมาลัยดอกไม้สดในมือ ที่เป็นตัวบ่งบอกว่าสิ่งที่เขาห่วงใยอยู่ในนาทีนี้ไม่ใช่ตัวเขาเอง
เด็กชายในชุดอยู่บ้านมอมแมมต้องเดินเร่ขายพวงมาลัยอยู่กลางถนนตอนบ่ายเที่ยง ทั้งๆไม่ใช่วันเสาร์อาทิตย์ และไม่มีวาระพิเศษใดที่ทางการประกาศให้เป็นวันหยุด
จะมีอะไรที่น่าเศร้าใจมากไปกว่านี้อีกไหม ในเมืองที่ล้นไปด้วยความเจริญทางวัตถุอย่างกรุงเทพฯ
คงไม่มีเด็กคนไหนที่สนุกกับการใช้ชีวิตประจำวันอยู่กับการเดินขายพวงมาลัยทั้งวัน แล้วอะไรที่ทำให้เด็กคนหนึ่งต้องมีหน้าที่ทำมาหารายได้ แทนที่จะได้ไปโรงเรียน เล่นสนุกเหมือนกับเด็กคนอื่น
ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดก็ตาม ที่ที่ดอกไม้ควรได้อยู่ยังไงก็ไม่ใช่กลางถนนในเปลวแดด แล้วจะมีผู้ใหญ่ที่นั่งอยู่ในรถคันหรูสักกี่คนที่จะใส่ใจลดกระจกลง เพื่อซื้อดอกไม้มาไว้ในที่ทางที่สมควร
ตัวของฉันได้เดินทางถึงที่หมายของตนเองนานแล้ว แต่หัวใจยังติดค้างอยู่ที่ทางแยกไฟแดงนั้น เช่นเดียวกันกับเด็กชายขายพวงมาลัยที่ฉันไม่รู้จักชื่อ ที่ยังคงต้องใช้เวลาอยู่กับการเดินเร่ขายพวงมาลัยดอกไม้สดตรงทางแยกนั้นอีกนาน
--------------------------------
" All Copyright©Nanthanatcha "

นับหนึ่ง...ที่กระบี่

ฉันกับเพื่อนร่วมทริป(และร่วมงาน)อีกห้าหกคนเริ่มต้นเช้าวันใหม่ที่จังหวัดกระบี่ด้วยกันที่โต๊ะอาหารของโรงแรมอย่างเงียบหงอย ท่าทางเหนื่อยเนือยของแต่ละคนนั้นฟ้องชัดว่าทุกคนยังคงพะว้าพะวังอยู่กับหน้าที่การงานที่เพิ่งผละจากมาที่กรุงเทพฯ
สำหรับฉันเองนอกจากตำแหน่งหน้าที่ที่เพิ่งจะเริ่มต้นกับเพื่อนร่วมงานกลุ่มนี้ได้ไม่กี่วันแล้วก็ยังคงมีอีกหลายเรื่องน่าเครียดอยู่ในหัว ทั้งเรื่องของการปฏิบัติตัวกับเจ้านายและเพื่อนใหม่ในการเดินทางมาครั้งนี้ และไม่เว้นแม้กระทั่งเรื่องความสับสนอลหม่านที่สนามบินเมื่อเย็นวาน จึงเริ่มต้นเช้านี้ด้วยอารมณ์ที่ขุ่นมัวกว่าทุกวัน
โปรแกรมการเที่ยวของพวกเราเริ่มต้นขึ้นในช่วงสาย จากการสอบถามกับเจ้าหน้าที่ต้อนรับของโรงแรมเชอร์ราตันที่พวกเราเข้าพักและคนขับรถตู้ที่พวกเราตกลงเช่าเพื่อใช้ในการเดินทางตลอดทริป ทำให้ได้รู้ว่าสภาพอากาศในช่วงนี้ไม่เหมาะกับการทำกิจกรรมหลายๆอย่างที่พวกเราได้วางแผนกันเอาไว้ล่วงหน้า ลงท้ายจึงสรุปลงตรงที่พวกเราจะใช้เวลาในวันแรกสำหรับการนั่งสปีดโบ้ทตระเวนไปตามเกาะแก่งและจุดดำน้ำต่างๆของจังหวัดกระบี่
ไกด์ที่คอยอำนวยความสะดวกและให้ข้อมูลต่างๆในเรือเป็นชายหนุ่มร่างเล็ก ผิวเข้ม และใช้ภาษาอังกฤษได้อย่างคล่องแคล่ว แต่พวกเราฟังสำเนียงชาวใต้แท้ๆซึ่งเขาใช้สื่อสารกับชาวไทยเพียงกลุ่มเดียวในทริปดำน้ำหนนี้อย่างพวกเราไม่รู้เรื่อง ซึ่งดูเหมือนจะสร้างความหนักใจให้กับเขาเป็นอย่างมากในตอนแรก และในที่สุดเขาก็ยิ้มกว้างออกมาได้เมื่อรู้ว่าพวกเราเข้าใจภาษาอังกฤษที่เขาใช้สื่อสารกับนักท่องเที่ยวได้เป็นอย่างดี การเดินทางของทุกคนในเรือลำนี้จึงเริ่มต้นขึ้นอย่างเรียบง่ายไม่มีการแบ่งสัญชาติใดๆต่อกัน หนุ่มชาวยุโรปเต็มใจวางกล้องถ่ายวีดิโอในมือเพื่อให้ความช่วยเหลือแก่สาวร่างอวบชาวเกาหลีที่เมาเรือจนสลบไสลตั้งแต่ตอนที่เรือแล่นออกจากฝั่งได้เพียงแค่ไม่กี่นาที โดยไม่รอให้มีท่าทีร้องขอจากใคร เป็นอีกภาพประทับใจที่ฉันใช้ความรู้สึกส่วนที่ดีที่สุดเก็บเอาไว้แทนเมโมรี่การ์ด และรอยยิ้มที่ทุกคนส่งให้กันและกันก็กว้างขึ้นเมื่อนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติร่วมทริปจัดแจงคัดแยกเปลือกผลไม้ ขวดพลาสติกและกระป๋องน้ำดื่มที่ใช้แล้วใส่ลงในถุงอีกใบหนึ่งตามอย่างพวกเรา แทนที่จะโยนใส่ไว้รวมกับของที่ยังไม่ได้ทานเหมือนอย่างช่วงแรกๆที่เริ่มต้นลงมือทาน


แม้ว่าฉันจะคุ้นเคยกับทะเลซะจนไม่ค่อยตื่นเต้นนักกับหน้าตาสะสวยของคลื่นน้ำ หาดทราย และฟ้าใสของทะเลอันดามัน แต่เจ้าปลาสีส้มตัวโตฝูงใหญ่ที่ว่ายวนอยู่รอบตัวตอนที่ได้หยุดพักเดินเล่นบนเกาะ แล้วนั่งแช่น้ำเล่นๆอยู่บนทรายก็ทำให้อดกรี๊ดไม่ได้ ยิ่งพอเอามือกอบทรายแล้วยื่นให้ เจ้าปลาสีส้มก็รุมตอดก็ยิ่งสนุกจนไม่อยากที่จะลุกไปไหนกันเลยทีเดียว
วันที่สองของทริปกระบี่พวกเรามีเวลาไม่มากนัก เพราะไฟล์ทของสายการบินไทยในขากลับอยู่ในช่วงบ่ายสองโมงเศษ คนขับรถตู้ใจดีจึงอาสาเป็นไกด์นำทางพาพวกเราไปตระเวนชิมอาหารทะเลสดเจ้าอร่อย นวดผ่อนคลายในสปาที่บรรยากาศสุดน่ารัก แวะซื้อของฝาก ก่อนจะปิดท้ายที่การเที่ยวชมวัดถ้ำเสือ นอกจากกรงเสือที่อยู่หน้าถ้ำกับพระพุทธรูปขนาดใหญ่ฉันก็ไม่เห็นพระสงฆ์สักรูปในวัดนี้ จะมีก็แต่คุณยายสวมชุดขาวสามสี่คนที่กวักมือเรียกให้ฉันเข้าไปหาแล้วผูกข้อมือให้ด้วยด้ายสีขาวเท่านั้นเอง และแม้ว่าจะฟังพรของคุณยายไม่ค่อยรู้เรื่องนัก แต่ฉันก็จับได้ถึงความอบอุ่นใจดี มีเมตตาของผู้สูงอายุซึ่งพร้อมจะแจกจ่ายให้แม้แต่กับคนแปลกหน้าต่างสำเนียงภาษาต่อกันก็ตาม
แม้ว่าทริปนี้จะแสนสั้น แต่นั่นก็ได้ทำให้ฉันรู้ว่า เมื่อได้ก้าวลงเรือลำเดียวกันกับคนอื่นไปแล้ว ก็ควรที่จะเริ่มต้นที่จะนับหนึ่งไปพร้อมๆกัน เพราะการเดินทางครั้งนี้ได้ทำให้ฉันได้เก็บอีกหลายความทรงจำและความรู้สึกดีๆที่ไม่มีเมโมรี่การ์ดชิ้นไหนบรรจุเอาไว้ได้หมดจากเพื่อนร่วมทริปที่ไปด้วยกันมาจนถึงทุกวันนี้


--------------------------------
" All Copyright©Nanthanatcha "

โลกคนละสี


ฉันเป็นคนที่ไม่ชอบความมืดมาตั้งแต่ไหนแต่ไรอย่างไม่มีเหตุผล คำอธิบายที่แท้จริงของเรื่องนี้คงจมอยู่ในช่วงวัยที่ฉันยังเยาว์เกินกว่าจะจดจำได้ ทุกครั้งที่ตกอยู่ในความมืด ไม่อาจมองเห็นได้ว่าเบื้องหน้ามีอะไรอยู่บ้าง ฉันจะตื่นกลัวและหวาดระแวงภัยไปสารพัด ทั้งๆบางครั้งที่ที่ฉันยืนอยู่คือที่ที่ปลอดภัยที่สุดซึ่งเรียกว่า”บ้าน”ก็ตาม
เย็นวันนั้น ฉันกำลังยืนชะเง้อมองดูความคับคั่งของการจราจรอย่างเหนื่อยหน่ายอยู่ริมทางเท้า คงต้องเสียเวลาอีกหลายนาทีกว่าฉันจะข้ามถนนได้สำเร็จ ด้วยความไม่คุ้นชินกับการข้ามถนนเพียงลำพัง เมื่อไร้ความเชื่อมั่นที่ถ่ายเทมาจากมืออุ่นๆของคนข้างๆก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกหวาดหวั่น...
“พี่ครับ...”เสียงเรียกแปลกหูและรอยสัมผัสเบาๆที่แขน ฉุดดึงความสนใจของฉันไปยังต้นทาง ...เด็กหนุ่มผู้อ่อนวัยกว่าร่างท้วมที่เพิ่งจะก้าวลงจากรถโดยสารสี่ล้อเล็กเมื่อไม่กี่นาทีก่อนนั่นเอง ความรู้สึกผิดก่อตัวขึ้นเล็กๆในสำนึกที่ปล่อยให้การใช้ชีวิตแบบคนเมืองหลวงเข้าครอบงำ จนลืมที่จะใส่ใจกับคนรอบข้าง แห้งแล้งน้ำจิตน้ำใจที่จะจุนเจือต่อผุ้อื่น
“จะข้ามถนนใช่มั้ยคะ?”ฉันเอ่ยตามมารยาทพร้อมๆกับคว้าข้อมือของเด็กหนุ่มมาจับไว้ อยากให้เขารู้สึกเชื่อมั่นและไว้วางใจฉันเหมือนๆกับที่ฉันเคยได้รับความรู้สึกนี้จากคนที่คอยอยู่ข้างๆเวลาข้ามถนน ถึงแม้ว่าเส้นด้ายที่เชื่อมโยงความสัมพันธ์ระหว่างซึ่งกันและกันจะต่างกันลิบลับก็ตาม
เส้นด้ายที่โยงใยระหว่างฉันกับที่คอยจูงมือข้ามถนนมีชื่อว่า เพื่อน พี่น้อง พ่อแม่ ตลอดจนคนที่รู้สึกดีดีต่อกัน แต่เส้นด้ายระหว่างฉันกับเด็กหนุ่มที่ฉันกำลังพาข้ามถนนอยุ่นี้ ไม่สามารถเรียกได้แม้กระทั่ง”คนแปลกหน้าต่อกัน” เพราะเขาคงไม่มีโอกาสได้เห็นหน้าฉันสักครั้ง
การใช้ชีวิตแบบคนเมืองหลวงที่เยื้อแย่งแข่งขันกันไปสารพัด ทำทุกอย่างรีบเร่งเพื่อแข่งขันกับเวลา ราวกับว่าพระเจ้าไม่ได้ให้เวลากับมนุษย์ทุกคนบนโลกคนละยี่สิบสี่ชั่วโมงเท่ากันทั้งหมด ทำให้ฉันหลงลืมไปเสียสนิทใจว่า ในซอยบ้านฉันมีผู้พิการทางสายตาพักอาสัยอยู่หลายครอบครัว ทันทีที่ฉันย้ายมาพักอาศัยอยู่ที่ซอยนี้เมื่อหลายปีก่อนฉันก็พบว่ามีร้านบริการนวดแผนโบราณโดยคนตาบอดซุกตัวอยู่ในห้องแถวเล็กๆขนาดหนึ่งคูหาตั้งอยู่ก่อนแล้ว แต่จนป่านนี้ฉันยังไม่เคยได้เข้าไปใช้บริการเลยสักครั้ง กลับเลือกใช้จ่ายฟุ่มเฟือยไปกับน้ำมันหอมระเหยจากต่างประเทศในร้านสปาหรูกลางเมือง
แม้ไม่ใช่ครั้งแรกที่ฉันได้พาคนตาบอดข้ามถนน แต่ฉันรู้สึกอิ่มเอมอย่างประหลาด เหมือนตัวเองเป็นผู้กล้าหาญในตำนานอะไรสักอย่าง ที่สามารถพาเขาข้ามถนนได้สำเร็จอย่างปลอดภัย อาจจะเป็นเพราะความที่ชีวิตของมันวุ่นวายและมีสีสันมากมายจนเกินไป จนทำให้มองเห็นความงดงามของน้ำใจและมิตรภาพสีขาวไม่เห็น ต่างจากเขาผู้ที่ต้องอยุ่ในโลกมืด ที่มีแต่ความหม่นเทาให้เห็น รอยยิ้มที่ไม่ต้องเสแสร้งจึงผุดพรายเปื้อนหน้าอย่างง่ายดาย นั่นคงหมายถึงเป็นอีกหนึ่งครั้งที่เขาได้เห็นสีขาวอันงดงามของน้ำใจและความเอื้อเฟื้อที่ยังคงมีอยู่จริงบนโลกใบนี้ ซึ่งนั่นทำให้ฉันพลอยรู้สึกดีและอดไม่ได้ที่จะยิ้มตามไปด้วย
การจูงมือคนอีกคนนึงข้ามถนน ทำให้เราต้องหมุนเวลาของตัวเองให้ช้าลง เพราะต้องคำนึงถึงความปลอดภัยของคนที่อยู่ข้างๆเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งคน กับหลายคนอาจคิดว่านั่นคือภาระที่ต้องพยายามเลี่ยงหลบ แต่สำหรับฉันแล้ว... ตอนนี้ฉันขอสัญญาว่าเต็มใจที่จะหมุนเวลาของตัวเองให้ช้าลง ช้ากว่าคนอื่นๆ เพื่อที่จะได้มีโอกาสพาใครอีกคนนึงโดยสารไปให้พ้นฝั่งถนนด้วยกัน

--------------------------------
" All Copyright©Nanthanatcha "

วันพฤหัสบดี, มิถุนายน 28, 2550

เรื่องของอ้อม...โลกของอ้อม

“เรื่องของอ้อม...โลกของอ้อม”
“อ้อม” เสาวนีย์ ฤทธิ์โชติ ไม่ได้เป็นเพียงตัวละครแห่งความเศร้าอย่างแท้จริงในหน้าหนังสือเท่านั้น แต่ว่าเธอคือหนึ่งชีวิตที่กำลังโลดแล่นอยู่ในโลกของความเป็นจริงกับโรคร้ายๆของเธออย่างเบิกบาน
แต่ละคนย่อมมีโมงยามแห่งความโศกเศร้าเป็นของตัวเอง และการแสดงออก ตัดพ้อต่อว่า ร้องไห้คร่ำครวญให้กับชะตากรรมอันทุกข์เข็ญของตนเองในแต่ละคนก็ไม่เท่ากัน ซึ่งไม่ได้ขึ้นอยู่กับต้นทุนความทุกข์ที่ทุกคนมีอยู่ในมือด้วยปริมาณที่แตกต่างกัน หากแต่ขึ้นอยู่กับว่าแต่ละคนประเมินค่า ให้ความสำคัญกับการได้เกิดมามีชีวิตของตัวเองในชาตินี้ไว้มากน้อยแค่ไหน
อย่าคิดว่าตัวเองแย่คนเดียว ในโลกใบนี้ ยังมีหลายร้อย หลายพัน หลายหมื่น เป็นแสนเป็นล้านที่มีความทุกข์เหมือนกัน (คัดลอกจากหนังสือ หน้า 126)
อ้อมมีชะตากรรมชีวิตที่แสนเศร้า เธอป่วยด้วยโรค scleroderma หรือโรคเกล็ดหนังแข็ง โรคนี้มีโอกาสเกิดขึ้นเพียงหนึ่งในล้านเท่านั้นและโชคดีที่โรคร้ายนี้ไม่แพร่ระบาด แต่โชคร้ายตรงที่โรคนี้ทำให้อ้อมต้องต่อสู้กับความโดดเดี่ยว ปรับเปลี่ยนทัศนคติตัวเองซะใหม่ อยู่กับความเหงาให้ได้เหมือนกับเป็นเพื่อนสนิทกัน เหล่านี้คือสิ่งที่อ้อมต้องทำไปพร้อมๆกับการต่อสู้กับความเจ็บปวดทางร่างกายที่ยิ่งนับวันก็ยิ่งถาโถมเพิ่มปริมาณความทุกข์ทรมานให้กับเธอ
ตาผิดหวังจากการที่อ้อมป่วยรักษาเท่าไหร่ก็ไม่หาย แต่ครั้งนั้นเป็นครั้งแรกที่เห็นรอยยิ้มภูมิใจของตา เพราะอ้อมทำได้ด้วยตัวเองไม่ได้ใช้เส้นใช้สาย ทำด้วยสมองของอ้อมเอง ถึงร่างกายจะคล้ายพิการแต่สมองไม่ได้พิการ ถึงร่างกายจะไม่สมประกอบเหมือนเพื่อนๆ แต่อ้อมก็ยังมีสมองที่เหมือนเขา ยังสามารถที่จะใช้สมองเป็นประโยชน์ได้ เพราะว่าการที่จะสอบเข้าโรงเรียนประจำจังหวัดไม่ใช่เรื่องง่ายๆ เด็กทั่วทั้งจังหวัดต้องมาสอบเข้าที่โรงเรียนนี้ ตาหวังมากกับเรื่องการรักษาแต่ต้องผิดหวัง อ้อมก็เลยหวังอีกอย่างหนึ่งคือเรื่องเรียน ยังไงอ้อมก็อยากจะให้ตาภูมิใจสมหวังกับอ้อมสักเรื่อง (คัดลอกจากหนังสือ หน้า 34)
ต้นทุนความทุกข์ของอ้อมมากมายจนล้นตัว แต่เธอกลับยิ้มได้ อยู่กับมันได้อย่างเป็นสุข และไม่เคยคิดว่าตัวเองโชคร้ายต่ำต้อย ทั้งๆที่ความจริงแล้วเธอกำลังแบกรับความทุกข์เอาไว้จนเต็มหลัง นอกจากอ้อมจะทำได้เพียงแค่นอนรอรับการดูแล ให้น้ำป้อนข้าวจากคนรอบข้างแล้ว อ้อมยังต้องทนรับมือกับสายตาขี้สงสัยและคำถามด้วยความแปลกประหลาดใจและอยากรู้ของผู้อื่นที่ได้พบเจออย่างไม่รู้จบ ควบคู่ไปกับยอมรับการรักษาพยาบาลทุกวิถีทางเพื่อให้บาดแผลตามร่างกายของเธออยู่ในสภาพที่ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้เพื่อลดทอนความเจ็บปวด
มีรายการมาถ่ายตอนที่อ้อมแช่น้ำ จะมีกล้องมีคนมาดู เราก็อายเพราะไม่รู้ว่าภาพที่ถ่ายมันจะไปจะมีอะไรโผล่ออกมาก็ไม่รู้ เราก็จะหนีบๆกลัวๆ พี่เขาบอกเขาถ่ายไม่ให้โป๊หรอกพี่จะถ่ายที่มันเห็นแผลเท่านั้น แต่สมาธิมันจะแยกเป็น 2 อย่างนะ อย่างหนึ่งกลัวว่าพี่ตากล้องจะถ่ายโป๊ สมองอีกซีกหนึ่งก็กลัวว่าทำแผลแล้วเราเจ็บ อ้อมกลัวตัวสั่น แต่ใจอ้อมกลัวมาทางทำแผลเจ็บมากกว่า (คัดลอกจากหนังสือ หน้า 105)
นี่ไม่ใช่ฉากทรมานตัวละครเอกเพื่อเรียกคะแนนสงสารจากนิยายเล่มไหน แต่เป็นส่วนหนึ่งในการดำเนินชีวิตประจำวันที่อ้อมจะต้องเผชิญหน้าเพื่อค่ารักษาพยาบาลที่เกินความสามารถของครอบครัวอ้อม อ้อมเข้มแข็งมากพอที่จะเปิดใจ เล่าเรื่องของตัวเองให้กับผู้ใจบุญได้รับรู้อย่างยินดี และผู้คนที่เมตตาอ้อมจำนวนนี้แหละ ที่ทำให้อ้อมรู้สึกมีความหวังในการใช้ชีวิตให้อยู่รอดต่อไปบนโลกอันน่าหดหู่ใบนี้ แล้วเธอก็ได้ลบคำว่า “อ่อนแอ” และ ”ยอมจำนน” ออกจากพจนานุกรมชีวิตของเธอ
แต่ที่สำคัญที่สุดก็คืออ้อมก็ไม่เคยดูถูกตัวเอง เธอทำตัวเองให้มีคุณค่ามากกว่าแค่ได้หายใจทิ้งไปวันๆในสภาพร่างกายที่ไม่มีความสมประกอบเอาซะเลย
เมื่อก่อนเคยคิดว่าทำไมแม่ไม่เอาอ้อมออกนะ ช่วงที่ท้องแล้วหมอบอกให้เอาออก แต่ทุกวันนี้แม่รักอ้อม ขอบคุณที่ทำให้อ้อมเกิดมา ถึงแม้โลกจะไม่ได้สดสวยอย่างที่อ้อมคิด อาจจะมีความทุกข์ความว้าเหว่ แต่ก็ทำให้อ้อมมีความคิดดีๆกับตัวเอง (คัดลอกจากหนังสือ หน้า 121)
ในขณะที่บางคนพยายามเรียกร้องความเห็นใจจากคนรอบข้างกับต้นทุนความโศกเศร้าเพียงหยิบมือ อย่างเช่นหน้าที่การงานที่หนักหนาสาหัส แทบจะไม่มีเวลาได้พักผ่อน ในขณะที่อ้อมกลับไม่เคยพูดถึงเลยว่าอยากที่จะขับแข้งขยับขาของตัวเองได้บ้าง แม้ไปเที่ยวที่ไหนไม่ได้ แค่ได้เดิน ได้วิ่งเล่นบ้างก็ยังดี อ้อมทำหัวใจของตัวเองให้ยินดีกับการไปเที่ยวรอบโลกผ่านจอทีวีได้อย่างหน้าชื่นตาบาน
ถึงแม้ฉันจะเชื่อว่าอ้อมคงร้องไห้ให้กับบาดแผลที่กระแทกกระทั้นก้อนเนื้อเพียงกำมือเดียวของตัวเองหลายครั้ง แต่ฉันก็ยังชื่นชมความเข้มแข็งที่อ้อมแสดงออกมาอยู่ดีนั่นแหละ น้อยคนนักที่จะกล้าเผชิญหน้ากับชะตากรรมอันโหดร้ายอย่างไม่หวาดหวั่นได้เท่าอ้อม
“เรื่องของอ้อม” โรคของอ้อมทำให้ฉันเลิกมองไปที่ต้นทุนความทุกข์ในมือ แล้วแหงนหน้ามองขึ้นไปที่ท้องฟ้า...
อย่าคิดว่าตัวเองแย่คนเดียว ในโลกใบนี้ ยังมีหลายร้อย หลายพัน หลายหมื่น เป็นแสนเป็นล้านที่มีความทุกข์เหมือนกัน (คัดลอกจากหนังสือ หน้า 126)
ถ้อยคำของอ้อมทำให้ฉันหยุดเสียเวลาที่สูญเปล่าไปกับการตัดพ้อโชคชะตา แล้วเริ่มต้นลงมือค้นหาความหมายและคุณค่าให้กับชีวิตจริงของตนเอง
--------------------------------
" All Copyright©Nanthanatcha "

เรื่องสั้น "ในห้องนั้น?"


มีเหตุการณ์หนึ่งในความทรงจำที่ฉันไม่อาจจะลืมได้ลง มันเกิดขึ้นในช่วงใกล้สอบปลายภาค เหล่าบรรดานักศึกษาต่างก็กำลังมุ่งมั่นอยู่กับการอ่านหนังสือเพื่อเตรียมตัวสอบเก็บคะแนน หลายคนยอมอดตาหลับขับตานอน เพื่อตัวเลขเกรดเฉลี่ยตอนปลายภาคที่คาดหวังเอาไว้ แต่สำหรับนักศึกษาปีสุดท้ายอย่างฉันแล้ว จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องขยันอ่านหนังสือให้มากกว่าคนอื่น โดยมีคะแนนเกียรตินิยมเป็นเป้าหมาย มันคือความคาดหวังสูงสุดของครอบครัวที่ฉันจะต้องทำให้สำเร็จ
ตลอดระยะเวลาหนึ่งสัปดาห์ที่ได้หยุดเพื่ออ่านหนังสือสอบ ฉันเก็บตัวอยู่ในห้องพักของมหาวิทยาลัยเพียงลำพัง เพื่อทุ่มเทเวลาให้กับการอ่านหนังสืออย่างเต็มที่ และมีกาแฟดำชนิดไม่ใส่ครีมเทียมและน้ำตาลอยู่ติดมือเกือบตลอดเวลา ซึ่งมันคืออาวุธสำคัญที่สามารถกำจัดความง่วงได้เป็นอย่างดี
หลังจากที่สอบเก็บคะแนนเสร็จ บรรยากาศโดยรอบของมหาวิทยาลัยก็กลับมาครึกครื้นอีกครั้ง นักศึกษาวางตำรับตำราแล้วหากิจกรรมต่างๆมาสร้างความบันเทิงให้กับตัวเองกันอีกระลอก และฉันก็มีโอกาสได้รู้จักกับพอล เขาเป็นนักกีฬาฟุตบอลของทีมมหาวิทยาลัย
“ไอ้นัท ฉันว่า...แกน่าจะหาอย่างอื่นทำดูบ้างนะ ไม่ใช่วันๆเอาแต่อ่านหนังสือ เดี๋ยวก็ไม่มีแรงรับปริญญาหรอก หัดออกกำลังกายซะบ้างดิ”
พอลเอ่ยปากชวนด้วยประโยคเดิมๆ เมื่อเห็นว่าฉันเริ่มที่จะหยิบหนังสือขึ้นมาอ่าน ขณะนั่งรอเขาอยู่ริมสนามฟุตบอล
ทุกเย็นฉันมักจะมานั่งดูพอลกับเพื่อนๆในทีมของเขาฝึกซ้อม เพื่อรอหาเพื่อนไปร่วมวงกินข้าวเย็นด้วยกันก่อนจะแยกย้ายกลับห้องพัก พอได้ร่วมวงกินข้าวด้วยกันบ่อยขึ้นฉันกับเพื่อนกลุ่มนี้ของพอลก็สนิทสนมกันดี สนิทมากกว่าเพื่อนที่เรียนบริหารมาด้วยกันซะอีก
“สนุกนา...แล้วจะติดใจ”
พอโดนหลายเสียงชวนหนักๆเข้า วันหนึ่งฉันก็เลยตัดสินใจลองเล่นฟุตบอลกับพวกเขาดูบ้าง แต่ด้วยความที่ฉันเพิ่งจะหัดเล่น และไม่ค่อยได้เล่นกีฬา ลงไปวิ่งตามลูกกลมๆได้ไม่นานนักก็เล่นเอาเหนื่อยจนแทบขาดใจ จึงหยุดยืนหายใจถี่ๆก่อนจะค่อยๆเดินเลี่ยงออกมาข้างสนาม
“อ้าว...ไม่ไหวซะแล้วเหรอ? แรกๆก็แบบนี้แหละ”
พอลขว้างลูกฟุตบอลส่งให้เพื่อนแล้วเดินตามฉันออกมานั่งที่ข้างสนาม เราทั้งสองคนมีเหงื่อชุ่มด้วยกันทั้งคู่ แต่สีหน้าของพอลนั้นกลับยังดูสดชื่น ซึ่งแตกต่างจากฉันโดยสิ้นเชิง ไม่ต้องเห็นใบหน้าของตัวเองตอนนี้ฉันก็รู้ดีว่า สารรูปของตัวเองนั้นดูย่ำแย่เพียงใด
“พักก่อนก็แล้วกัน เอ้า...”
ฉันรับแก้วน้ำมาจากพอล หลักจากที่ดื่มเข้าไปอึกใหญ่ก็รู้สึกสดชื่น และมีเรี่ยวมีแรงขึ้น จึงไม่แปลกใจเลยว่าทำไมพอลกับเพื่อนๆถึงได้เล่นฟุตบอลกันได้อย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย หลังจากเล่นฟุตบอลด้วยกันวันนั้นฉันจึงได้รู้ว่าในกระติกน้ำที่เพื่อนๆดื่มกันมีส่วนผสมพิเศษที่พวกเขาใส่ลงไปเจือปนอยู่
“เดี๋ยวนี้ทิ้งหนังสือได้แล้วนะแก”
ฉันร่วมวงเตะบอลกับเพื่อนบ่อยขึ้นจนหลายคนเอ่ยปากแซว ฉันคงติดใจการเล่นฟุตบอลเข้าจริงๆอย่างที่พอลเคยบอก พอรู้ตัวว่าไม่ถนัดกับการคอยวิ่งตามลูกฟุตบอลในสนาม ฉันก็ขอเปลี่ยนมาเล่นตำแหน่งผู้รักษาประตู และหลังจากที่เลิกเล่นบอล กลับมาที่ห้องพัก ฉันก็สามารถอยู่อ่านหนังสือจนดึกดื่นได้นานขึ้น โดยที่แทบจะไม่ต้องพึ่งพากาแฟดำแก้วเดิมเลย
ถัดจากนั้นอีกสามเดือนเป็นช่วงใกล้สอบปลายภาค ฉันจึงหยุดเล่นบอล และกลับมามุ่งมั่นอยู่กับการอ่านหนังสืออย่างหนัก เพื่อคะแนนเกียรตินิยมที่ทางบ้านมักจะโทรมาตอกย้ำกับฉันอยู่เสมอ ฉันอดนอนจนกระทั่งนั่งหลับในอยู่บ่อยๆเพราะกลัวอ่านหนังสือไม่ทัน จนในที่สุดฉันก็ต้องขอแบ่งเอาส่วนผสมพิเศษที่เพื่อนๆใส่น้ำดื่มตอนเล่นบอลมาผสมในน้ำดื่มของตัวเองบ้าง มันช่วยแก้ง่วงได้ชะงักนัก
--- --- --- ---
มีนักศึกษาชายคนหนึ่งเพิ่งย้ายเข้ามาอยู่ใหม่ แต่ว่าฉันยังไม่มีโอกาสได้ทักทายทำความรู้จัก เท่าที่ฉันเห็น เขาเป็นคนประหลาดมาก เงียบเฉย ดูซึมเซา ร่างกายก็ดูผอมเกร็งไปหมด คล้ายเป็นคนขี้โรค และมีอะไรบางอย่างที่ไม่เหมือนกับคนทั่วๆไป แววตาของเขาที่ฉันเห็นมันดูดื้อรั้น และขัดแย้งขวางโลกอย่างบอกไม่ถูก บางทีอาจจะเป็นเพราะฉันเพิ่งเห็นเขาเป็นครั้งแรกจึงรู้สึกกับเขาแบบนั้นก็ได้
--- --- --- ---
นอกจากเรียนหนังสือแล้ว เขายังต้องทำงานหารายได้พิเศษมาใช้เป็นค่าใช้จ่าย ฐานะทางบ้านเขาคงไม่สู้ดีนัก ถ้าหากเขาไม่ต้องออกไปที่ไหน เขาก็จะขลุกตัวอยู่ในห้องพักทั้งวัน ไม่มีใครรู้ว่าเขาทำอะไร อย่างไร ทำตัวลึกลับ ไม่พบปะสุงสิงกับใครเลย แต่ว่าความลับไม่มีในโลกหรอก เพราะว่าห้องพักของเขาอยู่ติดกับห้องของฉัน...
ดึกสงัด ฉันได้ยินเสียงคนเดินวนไปวนมา ในขณะที่ตัวเองกำลังนั่งงัวเงียอยู่ที่โต๊ะเขียนหนังสือด้วยความง่วง และเมื่อยล้า ตอนแรกฉันคิดว่าเขาคงจะนอนไม่หลับเพราะมีเรื่องกลุ้มใจ จึงไม่ได้ใส่ใจอะไร แต่ต่อมาก็ได้ยินคล้ายเสียงคนกำลังร้องไห้สะอึกสะอื้น เสียงร้องไห้นั้นรุนแรงขึ้นเรื่อยๆพร้อมกับเสียงข่มขู่ของใครคนหนึ่ง
“แกต้องตาย แกต้องตาย ฉันจะฆ่าแก”
ตามติดมาด้วยเสียงรัวทุบกำแพงอย่างแรงติดต่อกันอีกหลายครั้ง
--- --- --- ---
ฉันไม่ได้เล่าให้ใครฟังถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้น ตอนนี้จิตใจของฉันเฝ้าคิดถึงแต่เรื่องสอบจึงเก็บงำเอาความสงสัยเอาไว้คนเดียว ฉันเจอเขาตอนเกือบใกล้เที่ยง ขณะที่เดินสวนกันตรงบันได สภาพของเขาดูเหมือนกับคนไม่ได้นอนมาทั้งคืน เสื้อผ้ายับยู่ยี่ ชายเสื้อถูกปล่อยออกมาหลุดลุ่ย ดูไม่มีราศีของนักศึกษาเอาซะเลย
คืนต่อมา ในขณะที่ฉันกำลังนั่งอ่านหนังสืออยู่ ก็ได้ยินเสียงดังมาจากห้องข้างๆอีก แต่คราวนี้เป็นเสียงร้องไห้สะอึกสะอื้นในตอนแรก แต่ต่อมาก็กลับกลายเป็นเสียงหัวเราะคิกคักในตอนดึกสงัด
--- --- --- ---
หลายคืนแล้วที่ฉันได้ยินเสียงประหลาดๆดังมาจากห้องของเขา บรรยากาศยามค่ำคืนของหอพักก็ดูวังเวงลงทุกที ด้วยความอยากรู้อยากเห็นและรำคาญเต็มที ฉันจึงตัดสินใจลุกจากโต๊ะเขียนหนังสือตอนกลางดึก เอาใบหน้าแนบติดกับฝาผนังห้อง ด้วยความอยากรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นในห้องของเขา นักศึกษาที่เพิ่งย้ายเข้ามาอยู่ใหม่
“แกต้องตาย แกต้องตาย แกสมควรที่จะตายได้แล้ว ฮ่าๆๆ ฉันจะมีความสุขมากเลย ถ้าหากได้เห็นแกกำลังตายลงไปต่อหน้า ตายไปซะเดี๋ยวนี้เลย...”
เป็นเสียงของเขากำลังพูดพึมพำอยู่กับตัวเอง ก่อนจะมีเสียงคนเดินลากเท้าวนไปวนมาอยู่ภายในห้อง แต่ความอ่อนล้าเพราะอดนอนติดต่อกันมาหลายคืน ก็ทำให้ฉันรู้สึกกระหายน้ำขึ้นมาซะก่อน
--- --- --- ---
ฉันมีโอกาสเจอเขานั่งอยู่ที่โต๊ะหินอ่อนหน้าหอพักเพียงลำพังในเย็นวันต่อมา สายตาของเขาทอดเหม่อเลื่อนลอย เงียบเฉย ไม่สนใจกับสิ่งรอบข้าง ฉันยืนมองเขาอยู่นาน พยายามทบทวนลำดับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับห้องข้างๆที่ตัวเองได้ยิน สงสัยเต็มทีว่ามีอะไรซ่อนอยู่ภายในห้องนั้น
--- --- --- ---
ในที่สุดฉันก็ตัดสินใจอย่างเด็ดเดี่ยวว่าคืนนี้จะต้องรู้ให้ได้ว่ามีอะไรเกิดขึ้นภายในห้องนั้น ห้องของเขาที่อยู่ติดกันกับห้องพักของฉัน วันนี้ฉันจึงเก็บตัวอยู่ในห้องเพื่ออ่านหนังสือสอบตั้งแต่บ่าย นอกจากคะแนนเกียรตินิยมแล้ว เป้าหมายของฉันในตอนนี้ก็คือ ฉันจะเฝ้าสังเกตดูพฤติกรรมของเขา
เสียงนาฬิกาที่ชั้นวางของเดินเสียงดังซะจนฉันไม่มีสมาธิ มันดังราวกับว่าเป็นเสียงของการเคาะระฆังเหง่งหง่างในช่วงกลางดึก ฉันจึงลุกขึ้นเดินไปเอาใบหน้าแนบกับฝาผนังห้อง
“แกรีบๆตายไปซะน่ะดีแล้ว จะได้ไม่ต้องแบกรับเอาภาระความรับผิดชอบบ้าๆบอๆ ไม่ต้องแก่งแย่งชิงดีชิงเด่นกัน แกคิดดูสิ...ถ้าหากแกทำให้คนอื่นผิดหวัง แกมันจะน่าสมเพชมากแค่ไหน”
มันคือเสียงพูดคุยกับตัวเองที่ฉันได้ยินติดต่อกันมาหลายคืน แล้วตามมาด้วยเสียงเดินลากเท้าวนไปวนมาอยู่ภายในห้อง ก่อนจะเปลี่ยนเป็นเสียงร้องไห้สะอึกสะอื้นเช่นเดียวกับคืนก่อนๆ
ฉันถอยกลับมานั่งที่โต๊ะ พยายามรวบรวมสมาธิอ่านหนังสือต่อไป แต่ยิ่งฉันพยายามคิดถึงแต่เรื่องเกียรตินิยมมากเท่าไหร่ ความสับสนวุ่นวายใจก็ยิ่งมีมากขึ้นเท่านั้น จนฉันต้องพักสายตาจากหน้าหนังสือมองนิ่งไปที่ต้นทางของเสียง
หัวใจของฉันเต้นแรง รัวถี่เหมือนใครกำลังตีกลองอยู่ในอก เหงื่อซึมทั่วใบหน้า รู้สึกได้ถึงความแรงของเลือดที่ฉีดพล่านภายในร่างกาย เมื่อได้ยินเสียงเขากำลังเดินออกจากห้อง
เสียงร้องไห้นั้นยิ่งดังขึ้นเรื่อยๆ เป็นเสียงที่โหยหวน หวีดหวิวล่องลอยตามสายลม สลับกับเสียงหัวเราะคิกคัก คล้ายกับคนเสียสติ ดังระเรื่อยไปตามลมดึกที่พัดผ่าน
จู่ๆก็มีเสียงฟ้าผ่าดังขึ้นสนั่นหวั่นไหว แล้วฝนหลงฤดูก็กระหน่ำเทลงมาอย่างไม่ลืมหูลืมตา ลมที่แรงขึ้นพัดหน้าต่างห้องที่ฉันเปิดทิ้งไว้ปิดดังโครม ในขณะที่เสียงเดินลากเท้าและทุบฝาผนังก็ยังคงดังอยู่เรื่อยๆอย่างไม่มีทีท่าว่าจะหยุด เสียงเดินของเขาค่อยๆใกล้เข้ามาเรื่อยๆ จิตใจของฉันเต้นระทึก
แล้วเสียงฝีเท้าก็หยุดอยู่ที่หน้าประตูห้องของฉัน
“แกต้องตาย แกสมควรตาย ถ้าแกทำให้คนอื่นผิดหวังแกก็ต้องตายอย่างน่าสมเพชอยู่แล้วนี่นา ฮ่าๆๆ แกต้องตาย”
เสียงนั้นโทมเข้ามาในโสตประสาตของฉัน พร้อมๆกับเสียงคนเคาะประตูรัวถี่ยิบ หัวใจของฉันเต้นรัวราวกับจะหลุดออกมาอยู่นอกอก ใบหน้าซีดเผือดราวกับในร่างกายไม่มีเลือดหล่อเลี้ยงเลยสักหยด ฉันนั่งนิ่ง...ลืมหายใจ
--- --- --- ---
“นัท นัท ไอ้นัท...”
นักศึกษาชายสองสามคนกำลังช่วยกันปั้มหัวใจช่วยเหลือนัทที่ช็อกหมดสติอย่างร้อนรน หนึ่งในนั้นมี “เขา” นักศึกษาที่เพิ่งย้ายเข้ามาอยู่ในห้องพักติดกับนัทเมื่อหลายวันก่อนรวมอยู่ด้วย
--- --- --- ---
เสียงของรถพยาบาลที่มาจอดรับนัทที่หน้าหอพักเงียบหายไปแล้ว คงเหลืออยู่แต่เสียงวิพากษ์วิจารณ์ของเหล่าบรรดาเพื่อนนักศึกษาเท่านั้นเอง
“...ไอ้นัทมันช็อก เพราะมันใช้ยาเกินขนาดน่ะสิ”


--------------------------------
" All Copyright©Nanthanatcha "

วันอังคาร, มิถุนายน 26, 2550

ยิ้มให้กับความทุกข์แล้วเราจะมีความสุขที่สุดในโลก

“คำนำคนเขียน”

ฉันเชื่อว่า ”ความรักโอบกอดเราอยู่เสมอ”
เมื่อพูดถึงความรัก คนเรามักคิดถึงแต่ความรักในด้านที่ตัวเองได้ส่งต่อมอบให้กับคนอื่นอยู่เสมอ นั่นก็เลยทำให้คนเราเลือกที่จะโอบกอดคนอื่นอยู่ตลอดเวลา ซึ่งก็แปลว่ามักจะนึกถึง เอาใจใส่ ดูแล และแคร์คนอื่น(ที่เรารัก)ก่อนตัวเองอยู่เสมอ จนเมื่อรู้สึกเจ็บปวดกับอะไรต่อมิอะไรที่มันไม่ได้เป็นดังใจ ผิดพลาดจากที่วาดหวังเอาไว้ นั่นแหละจึงนึกขึ้นมาได้ว่าอ้อมกอดที่มี สามารถที่จะใช้โอบตัวเองให้อบอุ่นได้เช่นเดียวกัน
ทุกเรื่องราวในหนังสือเล่มนี้เป็นสิ่งที่ฉันเชื่อว่าสามารถเกิดขึ้นได้กับทุกคน เพราะฉันเองก็เพิ่งจะเดินผ่านเหตุการณ์เหล่านี้มาได้ไม่นานนัก ฉันอยากจะบอกว่า ฉันเองก็เคยเป็น...เป็นคนที่ชอบทำอะไรงี่เง่า เป็นคนชอบนอนตื่นสาย เป็นคนที่ชอบทำอะไรแบบผัดวันประกันพรุ่ง เป็นคนที่มักเอาใจใส่คนอื่นจนลืมนึกถึงตัวเอง ฉันเองก็เคยเป็นคนที่ไม่เอาไหนหายใจทิ้งไปวันๆมาก่อนเช่นกัน
ทุกเรื่องราวที่ฉันหยิบยกมาเล่าไว้ในหน้าหนังสือเล่มนี้ นอกจากฉันจะอยากให้คนอ่านได้มีตัวเลือกในการรับมือกับบททดสอบของการดำเนินชีวิตแล้ว ฉันยังอยากให้ทุกคนรู้จักที่จะจัดลำดับการให้คุณค่าและความสำคัญของผู้คนที่อยู่รอบข้าง อย่าแคร์คนที่ได้ก้าวผ่านเข้ามาในชีวิตแค่เพียงไม่นาน มากกว่าคนที่ดูแลปกป้องเรามาตลอดทั้งชีวิต และเลือกที่จะทำให้ตัวเองมีคุณค่าให้เป็นด้วย
ฉันอยากให้หนังสือเล่มนี้เป็นเพื่อนสนิทของทุกคน เป็นเพื่อนคนที่อาจจะให้คำปรึกษาที่ไม่ค่อยได้เรื่องได้ราวนัก แต่อย่างน้อยก็ยังมีเพื่อนคนนี้ก็มีวีรกรรมที่คล้ายๆกันมาเล่า ให้เก็บเอาไปเป็นอีกหนึ่งตัวเลือกในการจัดการสร้างคุณค่าให้กับการก้าวเดินบนวิถีชีวิตของตัวเองในก้าวต่อๆไป

“ด้วยความรู้สึกดีดี”
ใบข้าว
9 เมถุน ..07

--------------------------------
" All Copyright©Nanthanatcha "

วันเสาร์, มิถุนายน 23, 2550

"รักป่วนใจของยัยจอมงก"

จากใจผู้เขียน

เธอยังจำความรักครั้งแรกของตัวเองได้รึเปล่า?
ฉันเองก็เป็นอีกคนนึงที่จดจำความรักครั้งแรกของตัวเองได้อย่างแม่นยำ เค้าเป็นรุ่นพี่ที่เท่แบบสุดๆของฉันเองแหละ >_< ก็พี่เค้าน่ะเป็นคนที่ช่วยปัดลูกบอลไม่ให้มันพุ่งมาถึงหน้าของฉันได้น่ะสิ ถ้าวันนั้นฉันไม่ได้รุ่นพี่คนนี้ช่วยเอาไว้แล้วล่ะก็ มีหวังหน้าสวยๆของฉันต้องพังยับเยินแน่ๆเลย ^_^!! แล้วหลังจากวันนั้นฉันก็ปลื้มพี่เค้ามาโดยตลอด แต่ดูเหมือนว่าต่อมความรู้สึกของพี่เค้าจะเสียอะนะ เพราะไม่มีวี่แววว่าพี่เค้าจะสนใจไยดีความปลาบปลื้มที่ออกนอกหน้าของฉันเลยซักนิด น่าเศร้าชะมัดเลย T^T แต่ความรักครั้งแรกของซาริจังน่ะ น่าเศร้ามากกว่าเรื่องของฉันซะอีกนะ หลังจากที่ซาริต้องผิดหวังแบบสุดๆคนสวยเลือกได้อย่างซาริก็ไม่คิดที่จะรักใครอีก TT_TT เรียกได้ว่าหมดความมั่นใจในความรักไปเลยล่ะ น่าสงสารมั่กมากเลยใช่มั้ยล่ะ? แต่ซาริไม่ได้ปล่อยให้ตัวเองอยู่ในสภาพที่หดหู่ จนดูน่าสมเพชหรอกนะ เธอตั้งหน้าตั้งตาสะสมเงินอย่างมีความสุขซะจนน่าเกลียดน่ะสิ OoO แต่ความรักมักก็จะเล่นไล่จับกับหัวใจเราเสมอแหละ ยิ่งวิ่งหนีแบบสุดๆมากเท่าไหร่ ความรักก็วิ่งไล่ตามได้ทันมากเท่านั้น เรื่องมันคงไม่ค่อยยุ่งเท่าไหร่หรอกถ้าหากอีกคนที่ความรักจับคู่ให้ ไม่ใช่คนที่ไร้ความศรัทธาในรักแท้อย่างหนุ่มหล่อที่ชื่อฮิเดกิ แถมพอทำความรู้จักกันได้ไม่เท่าไหร่ เค้าก็เลื่อนขั้นตัวเองไปเป็นซุปเปอร์สตาร์ของญี่ปุ่นอีกตะหาก T^T แล้วซาริจะทำยังไงให้เรื่องยุ่งๆของความรักครั้งนี้จบลงได้ด้วยดีล่ะ... ฉันเชื่อว่าการมีความรักก็เหมือนกันกับการนั่งดูหนังซักเรื่องนึงอะแหละ ที่เราไม่อาจรู้ล่วงหน้าได้หรอกว่ามันจะกลายเป็นหนังเรื่องโปรดในดวงใจของเราหรือเปล่า จนกว่าจะดูจบ แล้วฉันเองก็อยากให้ทั้งซาริและเธอที่หยิบหนังสือเล่มนี้ขึ้นมาเชื่อเหมือนๆกับที่ฉันเชื่อด้วยล่ะ >__< let’s love,if u dare.
นัตตี้

--------------------------------
" All Copyright©Nanthanatcha "

คุยมือถือในที่สาธารณะ เท่ากับกำลังประจานตัวเอง

เวลาที่ต้องไปถึงสถานที่นัดหมายสาย เรามักจะบอกกับคนที่โทรมาตามว่าใกล้จะถึงแล้ว
ทั้งๆที่บางทีเพิ่งจะก้าวขาขึ้นรถเมล์มาหยกๆ
เป็นการพูดเพื่อทำให้คนที่กำลังรอรู้สึกสบายใจขึ้น

แต่คนรอบข้างที่กำลังนั่งรถเมล์คันเดียวกันกับเราล่ะ
เขาจะรู้สึกยังไง เคยคิดบ้างรึเปล่า?
มันเหมือนเราเดินไปสะกิดเขา แล้วบอกว่า “ฉันโกหกเก่งนะ”
จริงมั้ย?

มีอีกหลายๆคนที่ใจดี ชอบจัดโปรโมชั่นแฉตัวเองผ่านการคุยมือถือให้คนรอบๆข้างฟัง
ทั้งเรื่องทะเลาะกับแฟน เดินตกบันได วันเสาร์อาทิตย์นี้จะไปไหนกับใคร สารพัดเรื่องที่ชอบสาธยายชนิดถึงพริกถึงขิงลงไปในมือถือ
นอกจากดูเผินๆแล้วเหมือนคนบ้า ที่พูดคุยได้โดยไม่ต้องมีคู่สนทนาอยู่ข้างๆแล้ว
ยังมีที่เลวร้ายไปกว่านั้นคือ...
พวกที่ชอบลามปามเอาเรื่องของคนอื่นมานั่งเม้าท์อย่างสนุกปาก
มันเท่ากับการตะโกนบอกคนทั้งโลกว่า”ฉันเป็นบุคคลประเภทไหน”


ฉันได้รู้ข่าวสารเด็ดๆจากคนที่มีพฤติกรรมชอบคุยมือถือบนรถสาธารณะบ่อยจนชิน
ไม่ต้องอ่านหนังสือพิมพ์ ก็รู้เรื่องดารา ความคืบหน้าของละครหลังข่าวได้

แม้ว่าจะมีหลายครั้งที่นึกเค้าหน้าของคนที่ถูกหยิบเอามาเม้าท์ไม่ออก
แต่ฉันก็จำหน้าของคนที่กำลังเล่าเรื่องได้แม่น
และพยายามไม่พาตัวเองเข้าไปทำความรู้จักกับคนคนนั้น

เธอเองก็คงรู้สึกเหมือนๆกันกับฉันน่ะแหละ
คือ...ไม่อยากเป็นเพื่อนกับคนขี้นินทา




--------------------------------
" All Copyright©Nanthanatcha "

วันศุกร์, มิถุนายน 22, 2550

“ตัวละครเป็นแผล...แต่งดงาม” ของ Jimmy Liao


ทุกครั้งที่เศร้าโศก หมีกากบาทชอบปีนขึ้นไปอยู่บนยอดไม้
แล้วตะโกนขึ้นฟ้าสุดเสียง
“หมีกากบาทสู้ๆ! หัวใจสู้ๆ! จักรวาลสู้ๆ!”
แล้วก้มมองลงมา
โลกเบื้องล่างจะดูสว่างไสวน่าอยู่ขึ้นมาทันที
หมีกากบาทเป็นหนึ่งในตัวละครที่บาดเจ็บ เป็นแผล และมีความรู้สึกของจิมมี่ เลี่ยว นอกจากจะมีหมีกากบาทซึ่งเป็นตัวแทนของผู้คนที่ฝังตัวเองจมลึกอยู่กับอดีตอันน่าเศร้าและลืมไม่ลง แล้วก็ยังมีหนูดำของลูลู่ซึ่งเกิดมาเพื่อที่จะตกเป็นผู้ถูกกระทำอยู่ตลอดเวลา ในหนึ่งวันหนูดำได้ดื่มด่ำกับการตกจากที่สูงถึงแปดสิบแปดครั้ง และลูลู่ซึ่งเป็นเจ้านายก็ได้บอกกับหนูดำว่า เธอรู้สึกอิจฉาหนูดำเพราะเธอไม่สามารถดื่มด่ำกับการตกจากที่สูงได้ ลูลู่แลดูเหมือนเด็กผู้หญิงที่อ่อนโยน แต่เธอกลับศึกษาคิดค้นวิธีทำร้าย ทรมานตุ๊กตาของเธอได้มากถึงสิบเก้าแบบ ซึ่งนั่นก็ไม่ได้หมายความว่า เธอไม่ได้รักหนูดำ ไข่พะโล้จะต้องขอพรจากพระเจ้าสามประการก่อนกินข้าวเสมอ...
“ข้าแต่พระเจ้าผู้รอบรู้ ผู้ยิ่งใหญ่
ขอให้คนที่ไม่เชื่อท่าน เชื่อท่านได้ไหม
ผมทนเด็กคนอื่นหัวเราะเยาะไม่ไหวแล้ว
เขาบอกว่าผมโง่เง่า
หวังว่าท่านจะลงโทษพวกเขาอย่างสาสม”
ไข่พะโล้อธิษฐาน ขอให้พระเจ้าคุ้มครองเขาในทุกๆวัน ไม่ว่าจะเป็นเช้า สาย บ่าย หรือเย็น ไม่ว่าไข่พะโล้จะลงมือทำอะไร เขาก็จะต้องอธิษฐานอ้อนวอนกับพระเจ้า ไข่พะโล้เชื่อว่า “หากเชื่อย่อมได้ผล”
...แต่หากทุกคนอธิษฐานหมด พระเจ้าจะทำอย่างไร?...
และไข่พะโล้ก็ยังคงอธิษฐานอยู่ตลอดเวลา ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเล็กน้อยหรือใหญ่โตมากแค่ไหน
เขาเป็นเด็กโชคดี ทุกครั้งที่เขาหลับตาอธิษฐานเขาคือบุตรของพระเจ้า
มีหลายคนหวังว่าชีวิตจะเหมือนกับหนังโรแมนติก เช่นเดียวกับจูลี่ เธอเชื่อว่าหากรอคอยได้นานพอ ณ มุมหนึ่งของทะเลไกลโพ้น จะมีชายหนุ่มรูปงาม คนที่เข้าใจความรู้สึกของเธอ จะเก็บขวดที่เธอเขียนความในใจใส่ลงไป แล้วเอาไปทิ้งทะเลนั้นได้ และด้วยความกังวลว่าจดหมายที่ถูกปลาวาฬกิน หรือเกยตื้นบนเกาะร้าง จูลี่จึงได้ทำจดหมายแห่งความหวังออกมาถึงสามสิบเจ็ดแบบ และพยายามส่งจดหมายออกไปให้ไกล ให้พวกมันไปตามหาอนาคตอย่างกล้าหาญ แต่...
“เรื่องเหลือเชื่อมีอยู่แต่ในนิทานเท่านั้น”
“เรื่องโรแมนติกมีอยู่แต่ในนิยายเท่านั้น”
จดหมายสามสิบหกฉบับที่โยนออกไปในทะเลลอยกลับฝั่งพร้อมเกลียวคลื่นในเย็นย่ำสุดท้ายของฤดูร้อน ท่ามกลางแสงสวยของอาทิตย์อัสดง แต่ว่า...ไม่มีใครเห็นใบหน้าของจูลี่ ไม่มีใครล่วงรู้ความรู้สึกของเธอ และเธอก็ไม่รู้ด้วยว่า จดหมายในขวดใบที่สามสิบเจ็ดนั้นได้ถูกเปิดอ่าน แต่น่าเสียดายที่ชายหนุ่มรูปงามไม่เข้าใจเนื้อความของจดหมาย เขาจึงใช้ประโยชน์จากขวดใบนั้นด้วยการนำมันไปเป็นแจกันดอกไม้เพื่อมอบให้กับหญิงสาวที่เขารัก
ตัวละครทุกตัวของจิมมี่สีสวย แต่ไม่สดใส ทุกตัวละครมีบาดแผลเป็นของตัวเองด้วยกันทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็นปีเตอร์รูปหล่อที่ชอบผู้หญิงพร้อมกันถึงสามคน แต่ว่า...ใครจะรู้เล่าว่าคนรูปหล่อก็เหงาเหมือนกัน ส่วนบอลลูนที่เป็นเด็กฉลาดไอคิวสูง ที่ทุกๆคนต่างก็ชื่นชมในความฉลาดของเธอ กลับเบื่อหน่ายที่ต้องใช้ชีวิตอยู่ในโลกที่เต็มไปด้วยคนโง่ ในขณะเดียวกันเจ้าหัวซาลาเปาดันไม่เข้าใจหลายสิ่งอย่างอย่างบนโลก เพราะเขาหน้าตาเหมือนซาลาเปา สมองจึงมีไส้อยู่เพียงแค่นิดเดียวเท่านั้น ยังมีออทัมที่เอาแต่ไล่จับความสวยงามที่เมื่อกะพริบตาก็จางหาย เธอจึงมักจะรู้สึกผิดหวัง สิ่งที่สวยงามนั้นจับต้องไม่ได้
แต่ไม่ว่าบาดแผลของเด็กๆแต่ละคนในดินแดนแห่งนี้จะมากน้อยแตกต่างกันสักแค่ไหนก็ตาม เขายังคงอธิษฐานให้เพื่อนทุกคนเติบโตและมีสุขภาพแข็งแรง แบ่งปันเรื่องราวทุกข์สุขซึ่งกันและกันบ้างเมื่อมีโอกาส
ตัวละครที่เป็นแผลของจิมมี่ได้ได้เกิดมาเพื่อให้เราเชื่อว่าพวกเขาเจ็บปวด หากแต่พวกเขาทำให้เรารู้สึกว่าความเจ็บปวดนั้นเป็นยังไง เพราะหลายบาดแผลของพวกเขามีชื่อเดียวกันกับบาดแผลของเรานั่นเอง เพียงแต่เราพยายามที่จะเข้มแข็งเพื่อปกปิดเอาไว้ ไม่ร้องไห้ออกมาง่ายๆเหมือนกับตัวละครของจิมมี่ ซึ่งจริงๆแล้วเราเองก็อยากที่จะทำอะไรที่มันดูงี่เง่า บ้าบอ ไม่เอาไหนในสายตาของคนทั่วไปเช่นเดียวกันกับตัวละครของจิมมี่ แต่ว่าโลกของความเป็นจริงมักจะไม่ค่อยเปิดโอกาสให้เราได้ทำแบบนั้นง่ายๆนักน่ะสิ
การปล่อยให้หัวใจได้เดินทางตามตัวละครของจิมมี่เข้าไปในดินแดนที่สาบสูญ จึงเป็นวิธีที่ดีแบบสุดๆในยามที่ต้องการเพื่อนสักคนที่เป็นเหมือนเรา เข้าใจเรา รู้สึกและเยียวยาความเจ็บปวดของตัวเองไปพร้อมๆกัน
...แล้วจะกล้าเผชิญหน้ากับบาดแผล และรักตัวเองมากขึ้นเช่นเดียวกัน...
--- --- --- ---
หมายเหตุ : ตัวเอียงคัดลอกจากหน้าหนังสือ
ชื่อหนังสือ : Snow Falling ความปวดร้าวอันงดงาม
(หนึ่งในหนังสือชุด : Paradise Lost สวนสวรรค์ที่สาบสูญ)
Jimmy Liao : เขียน
ชุตินันท์ เอกอุกฤษฏ์กุล : แปล
‘ปราย พันแสง : บรรณาธิการ
จัดพิมพ์โดย : inSpire สำนักพิมพ์ในเครือนานมีบุ๊คส์หากแต่มันเป็นเพียงเกมสนุกของเธอเท่านั้นเอง
--------------------------------
" All Copyright©Nanthanatcha "

วันพฤหัสบดี, มิถุนายน 21, 2550

ตื่นตา...ตระการใจในฮ่องกง

เมื่อพูดถึงฮ่องกงสิ่งแรกที่ฉันนึกถึงก็คือ บรรยากาศสุดแสนโรแมนติกแบบเท่ๆในหนังเรื่องผู้หญิงข้าใครอย่าแตะ ในขณะที่หลายคนต่างก็คงพากันนึกถึงฮ่องกงในนิยาม”เกาะสวรรค์ของนักช้อป” เลื่องชื่อในเรื่องของสินค้าแฟชั่นทั้งรองเท้า เสื้อผ้า กระเป๋า ยันเครื่องใช้ไฟฟ้าที่ราคาถูกแบบสุดๆ
...นอกจากสิ่งต่างๆที่กล่าวมานี้แล้ว ฮ่องกงยังมีของดีอะไรซุกซ่อนอยู่อีกมั้ยนะ?
และด้วยข้อสงสัยนี้เองที่ทำให้สองเท้าของฉันได้มายืนอยู่ภายในบริเวณสนามบินฮ่องกงด้วยจุดหมายที่ค่อนข้างจะแตกต่างจากคนอื่นอยู่สักหน่อย เวลาท้องถิ่นตอนที่เครื่องลงเพิ่งจะบ่ายสองโมงเศษๆแต่ผู้คนกลับไม่พลุกพล่านและชุลมุนอย่างที่คิด ฉันเลือกที่จะเดินทางด้วยรถไฟฟ้าใต้ดิน แล้วไปต่อรถบัสเพื่อเก็บเกี่ยวเอาบรรยากาศการดำเนินชีวิตของผู้คนที่นี่ และชมวิวสวยๆระหว่างทางที่มุ่งหน้าสู่ที่พักเป็นลำดับแรก เมื่อข้ามไปสู่ฝั่งเกาลูนและเลี้ยวเข้าสู่ถนนนาธานได้ไม่นานนัก ก็ถึงที่ตั้งของโรงแรม Stankford ที่ฉันได้จับจองห้องพักเอาไว้
ย่านนี้มีชื่อเรียกว่ามงก๊ก (Mong Kok) นอกจากจะเป็นอีกหนึ่งแหล่งที่พักชั้นดีที่นักท่องเที่ยวนิยมมาใช้บริการกันแล้ว ในช่วงเวลากลางคืนถนนหนทางในย่านนี้จะถูกปิดเพื่อให้บรรดาพ่อค้าแม่ค้าได้นำสินค้าต่างๆมาจำหน่ายและบริการให้กับนักท่องเที่ยวกันอย่างคึกคัก มีข้าวของสารพัดให้ช้อปปิ้งและมีของกินมากมายให้เลือกสรรอย่างละลานตา ถนนสายนี้จะเป็นสิ่งแรกที่ยืนยันกับฉันว่าเสน่ห์ของฮ่องกงไม่มีวันหลับใหลเลยจริงๆ

Peak Tower and Peak Galleria ขึ้นชื่อว่าเป็นจุดชมวิวที่สวยที่สุดของฮ่องกง มีการพูดปากต่อปากกันว่าถ้าหากมาฮ่องกงแล้วไม่ได้มาที่ The Peak แล้วล่ะก็ ก็เหมือนมาไม่ถึงฮ่องกงกันเลยทีเดียว สิ่งที่ได้เห็นเมื่อมองลงไปด้านล่างจากจุดนี้ก็คือ แสงไฟหลากสีลานตาซึ่งประดับอยู่ตามตึกรามบ้านช่องที่กระจุกตัวอยู่ในพื้นที่อันจำกัด อีกทั้งคอนโดสูงระฟ้าก็ยังแข่งขันตกแต่งด้วยแสงไฟหลากสีสัน และด้วยแสงไฟที่ระยิบระยับจับตาไปทั่วทั้งเกาะนี่เอง ที่ทำให้ฮ่องกงงดงามสมกับเป็นเมืองในฝันของฉากหนังรักสุดเท่อันเต็มไปด้วยมนต์เสน่ห์ที่ตรึงตาติดใจไม่รู้ลืม
และถ้าหากนึกอยากที่จะมองฮ่องกงในมุมที่แตกต่างออกไปจากเดิม ฉันขอแนะนำให้ลองนั่งรถราง Peak Tram ชมเมืองเล่น เพราะรถรางคันนี้จะทำให้เราได้มองเห็นทัศนียภาพของฮ่องกงในมุมแบบเอียงๆ สวยแปลกตาไปอีกรูปแบบหนึ่ง
อีกสิ่งหนึ่งที่ขาดไม่ได้เมื่อได้แวะไปเยี่ยมเยือนฮ่องกงก็คือ การสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ของที่นี่ ทริปนี้ฉันเดินทางไปไหว้เจ้าแม่กวนอิมที่ Replusc Bay ซึ่งนอกจากจะได้ชมความสวยงามขององค์เจ้าแม่กวนอิมองค์ใหญ่แล้ว วิวสวยๆของทะเลสาบย่านอะเบอร์ดินก็ยังเป็นอีกหนึ่งความงดงามของฮ่องกงที่ยากจะลืมได้ลง จุดนี้จึงเป็นอีกหนึ่งจุดที่นักท่องเที่ยวชาวต่างชาติเลือกที่จะเดินทางมาเพื่อเก็บภาพความประทับใจ และที่นี่ก็ยังเป็นที่ตั้งของภัตตาคารลอยน้ำสุดหรูที่ถูกใช้เป็นโลเคชันในการถ่ายทำหนังดังหลายๆเรื่องอีกด้วย
หลังจากนั้นฉันก็เดินทางไปตามเส้นทางที่คู่มือนักท่องเที่ยวบอกไว้ นั่นคือเมื่อออกเดินทางด้วยรถไฟฟ้าใต้ดินสายเฉินวาน (Tsuen Wan Line) แล้วเปลี่ยนสายที่สถานีไล่กิ่ง จากนั้นก็นั่งไปจนสุดสายที่ตุงชุง (Tung Chung) แล้วก็ต่อรถบัสอีกทีนึงก็จะถึงที่ตั้งของวัดโป่หลิน (Po Lin Monastery) ซึ่งมีองค์พระโป่หลินขนาดใหญ่ตั้งอยู่กลางแจ้ง สามารถมองเห็นได้ตั้งแต่ตอนที่รถยังไปไม่ถึงวัด และเมื่อได้ยืนใกล้ๆกับฐานของพระพุทธรูป ฉันก็ต้องถึงกับแหงนหน้าแบบสุดๆเพื่อที่จะมองท่านแบบชัดๆกันเลยทีเดียว


สิ่งที่ฉันอยากแนะนำว่าห้ามพลาดอย่างเด็ดขาดเมื่อข้ามเรือไปซิมซาจุ่ยก็คือการแวะชมบรรยากาศของ Hong Kong Harbour ซึ่งตั้งอยู่ใกล้ๆกับโรงแรมแพนเนซูล่าสามารถหาเจอได้ไม่ยากนัก จากตรงนี้จะสามารถมองเห็นเกาะฮ่องกงเป็นรูปครึ่งวงกลมล้อมรอบตัวเราอยู่ จึงทำให้บริเวณนี้เป็นอีกหนึ่งจุดที่แสงแฟรชของนักท่องเที่ยวกระพริบพราวเก็บเกี่ยวเอาแสงไฟในยามค่ำคืนของฮ่องกงเอาไว้อย่างไม่ขาดสาย
จากฮ่องกงนักท่องเที่ยวสามารถเดินทางข้ามไปช้อปปิ้งต่อที่เมืองเสิ่นเจิ้นของจีนได้แบบไม่ยุ่งยาก แต่นอกจากขั้นตอนการขอเข้าเมืองแล้วจะต้องเสียค่าผ่านทางเป็นเงิน 150 ฮ่องกงดอลลาร์ (1 ฮ่องกงดอลลาร์ตกประมาณ 5 บาท) ที่ย่าน Dong Men นอกจากสินค้าแบรนด์เนมราคาถูกนานาชนิดแล้ว บัวหิมะก็ยังเป็นอีกหนึ่งของฝากที่นักท่องเที่ยวนิยมซื้อติดไม้ติดมือกลับไป
ก่อนเดินทางกลับถ้าหากยังพอมีเวลาจะพาเด็กๆแวะไปเที่ยวที่ Snoopy’s World ซึ่งเป็นสวนสนุกที่เปิดให้เข้าชมฟรีด้วยก็ยิ่งดี แต่ว่าฉันเลือกที่จะข้ามไปยังซิมซาจุ่ยอีกครั้ง เพราะนึกขึ้นได้ว่ายังไม่ได้แวะไปที่ Teddy Bear’s Kingdom เพื่อซื้อของขวัญให้กับตัวเองในทริปนี้ ก่อนที่จะโบกมืออำลาสีสันอันตระการตาและเสน่ห์มายาที่ไม่มีวันหลับใหลของฮ่องกงด้วยรอยยิ้ม
กลับจากฮ่องกงฉันมีของฝากที่จะนำมาส่งต่อให้กับคนที่เมืองไทยอยู่แน่นกระเป๋า แต่สิ่งเดียวที่ฉันไม่สามารถที่จะส่งต่อหรือมอบให้กับใครได้ สำหรับที่สิ่งได้รับกลับมาด้วยในทริปนี้ก็คือ พลังในการขับเคลื่อนตัวเองไปข้างหน้าอย่างไม่มีวันหลับใหลเช่นเดียวกันกับฮ่องกง ที่ตื่นตระการตาอยู่ตลอดเวลาและยังไม่มีทีท่าว่าเสน่ห์จะหลับลงได้โดยง่าย
--- --- ---
การเดินทาง
สายการบินจากรุงเทพฯไปฮ่องกงมีอยู่หลายสายการบินด้วยกัน อาทิเช่น การสายการบินไทย โทร. 0-2280-0060, 0-2628-2000,สายการบินคาเธ่ย์ แปซิฟิค โทร. 0-2263-0606 ,สายการบินโอเรียนท์ ไทย แอร์ไลน์ โทร. 1126, 0-2267-3210-5
ระเบียบการเข้าเมือง
นักท่องเที่ยวที่จะเดินทางไปฮ่องกงต้องถือหนังสือเดินทางที่ถูกต้องและมีอายุการใช้งานอย่างน้อย 1 เดือนหลังจากกำหนดวันเดินทางออกจากฮ่องกง นักท่องเที่ยวที่ถือสัญชาติไทยไม่ต้องขอวีซ่า ซึ่งสามารถอยู่ในฮ่องกงได้นานตั้งแต่ 7 วัน ถึง 180 วัน
ปัจจุบันการเดินทางไปฮ่องกงเพื่อติดต่อธุรกิจมีความสะดวกมากยิ่งขึ้นหากใช้บัตรเดินทาง (Travel Pass) ของเขตการปกครองพิเศษฮ่องกง (HKSAR) และสามารถขอวีซ่าเข้าจีนแผ่นดินใหญ่ได้ในฮ่องกง โดยเตรียมรูปถ่าย 1 รูปและใช้เวลา 3 วันทำการในการดำเนินการ
สามารถติดต่อขอวีซ่าได้ที่สำนักงานวีซ่าของสาธารณรัฐประชาขนจีน สำนักงานคณะกรรมการของกระทรวงการต่างประเทศของสาธารณรัฐประชาชนจีนในฮ่องกง บริษัท ไชน่า เทรเวล เซอร์วิส (HK) จำกัด และบริษัท ไชน่า อินเตอร์เนชั่นแนล เทรเวล เซอร์วิส HK จำกัด
สามารถหาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ ศูนย์บริการข้อมูลข่าวสารการท่องเที่ยวฮ่องกง โทร. 0-2233-4329-30
--- --- ---
--------------------------------
" All Copyright©Nanthanatcha "

วันพุธ, มิถุนายน 20, 2550

มาวิ...เจ้าหนูหัวดื้อแห่งทุ่งหญ้าสีน้ำเงิน


แค่เพียงไม่กี่หน้ากระดาษที่ พิบูลศักดิ์ ละครพล ได้เริ่มต้นเล่าเรื่องราวของทุ่งหญ้าสีน้ำเงิน ฉันก็รู้ได้แล้วมาวิว่าเป็นเด็กดื้ออย่างร้ายกาจ เป็นเด็กที่ดื้อเงียบ ชอบทำเป็นหูทวนลมเมื่อรู้สึกไม่พอใจ และช่างประชดประชันอย่างที่สุด เช่นเดียวกับเด็กทั่วไปที่ต้องตกอยู่ในสภาพครอบครัวที่ไม่สมบูรณ์
ถึงแม้ว่ามาวิจะกำพร้าแม่ แต่เขาก็ได้รับความรักและการดูแลเอาใจใส่อย่างดีจากผู้เป็นพ่อ จนกระทั่งวันที่เขาจะต้องเข้าโรงเรียนได้เดินทางมาถึง ซึ่งชายแปลกหน้าที่มีใบหน้าหยาบกร้านและดวงตาแดงก่ำด้วยความเมา เป็นคนขี่ม้านำข่าวสารนี้มาแจ้งยังหมู่บ้านในหุบเขา ความหัวดื้อหัวรั้นของมาวิจึงได้แสดงตัวออกมาอย่างชัดเจน เขาแกล้งทำเป็นไม่ได้ยินเสียงร้องเรียกของพ่อ และหลบนอนอยู่ในยุ้งข้าว เพื่อเป็นการบอกให้รู้ว่าเขารู้สึกไม่พอใจมากแค่ไหนกับการมาของชายแปลกหน้าคนนั้น
...ที่นั่นจะมีที่สวยๆอย่างนี้ไหมนะ...มาวิรู้สึกกระอักกระอ่วนใจ...คิดถึงเมื่อเวลาที่พ่อทำเสียงตอดไก่ ยามนี้แหละที่พวกแม่ไก่มันฟักลูก ปล่อยให้เจ้าไก่ตัวผู้เหงาหงอย และมันจะหลงคิดว่าเสียงเป่าปากเป็นเสียงตอดๆๆๆนั้น คือเสียงของไก่ตัวเมียผู้เปล่าเปลี่ยวใจเดินออกมาหาคู่ และมันก็ตีปีกพึ่บๆลงจากยอดเขามา...ใกล้เข้ามา...ใกล้เข้ามา เราพากันแอบซุ่มอยู่อย่างระทึกใจ มาวิจะได้เป็นคนอยู่ข้างหน้า นั่นเป็นสิ่งที่พ่อบอกให้ทำ...พอมันมาถึงใกล้มาก พ่อก็หยุดตอด และขณะที่เจ้าไก่ตัวงามกำลังงุนงงสงสัยกับเสียงหยอกเอินที่เงียบหายไปนั้น...แน่ละมันหมุนตัว ส่ายตาไปมา...หางของมันยาว เหลืองสลับดำ ปีกมันแดงแซมเขียวจัด มันขันอย่างคึกคะนอง มาวิเล็งแล้ว...เล็งอีก เขาเล็งอย่างดีก่อนที่จะลั่นไก...
เมื่อรู้ว่าไม่ว่ายังไงก็ตามเขากับตูรูเพื่อนรักก็จะต้องไปเข้าโรงเรียนตามที่ครูขี้เมาได้นำข่าวมาบอกกับพ่อแม่ของเด็กๆในหมู่บ้านกลางดง สิ่งที่มาวิคิดถึงคือปีนและการซุ่มยิงไก่ป่า แม้ว่ามาวิจะยังเด็กอยู่มาก แต่เขามีความชำนาญในการใช้ปีนเพื่อล่าเหยี่ยว และเชี่ยวชาญด้านการดักซุ่มยิงไก่ป่าเป็นอย่างดี มาวิเรียนรู้กฎกติกาของการใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับป่าเหล่านี้มาจากผู้เป็นพ่อ ซึ่งเป็นคนรุ่นแรกที่เข้ามาบุกเบิกป่านี้เพื่ออยู่อาศัย และสอนให้ทุกๆคนในหมู่บ้านแห่งนี้อยู่กันอย่างไม่เบียดเบียนธรรมชาติ
มาวิไม่มีโรงเรียนในจินตนาการ ในหัวของเขามีแต่คำถามว่าที่นั่นจะมีท้องฟ้ากว้างๆแบบที่บ้านของเขาไหม จะมีใครรู้จักวิธีล่าเหยี่ยวและไก่ป่าแบบเขารึเปล่า และทันทีที่มาวิรู้ว่าที่โรงเรียนไม่สนุก เขากับเพื่อนๆที่มาจากหมู่บ้านในดงกลายเป็นตัวประหลาดของเด็กๆในเมือง แล้วโรงเรียนก็มีแต่กฎระเบียบที่เขาเห็นว่าไม่ยุติธรรมเอาซะเลย รั้วสูงของโรงเรียน ความไกลของระยะทาง และความมืดของกลางคืนก็ไม่สามารถที่จะกีดกันไม่ให้เขาหนีออกจากที่นั่นได้
แต่ว่าในที่สุดมาวิกับตูรูก็ต้องเดินทางกลับคืนสู่โรงเรียน คำพูดเพียงไม่กี่ประโยคของพ่อได้ปลุกให้สัญชาติญาณการเอาชนะ เพื่อที่จะปกป้องศักดิ์ศรีให้กับผู้เป็นพ่อในตัวของมาวิให้ตื่นขึ้นมาได้
...บางทีอาจจะเป็นเพราะการเอาใจใส่เลี้ยงดูมาวิอย่างใกล้ชิดสนิทสนมของพ่อ ที่ทำให้พ่อรู้ว่าจะต้องทำยังไงมาวิจึงจะยอมกลับไปที่โรงเรียน และตั้งใจเรียนอย่างที่พ่อคาดหวัง เพราะไม่มีใครรู้จักมาวิดีเท่าพ่อ หรือไม่ มาวิก็เป็นลูกไม้ที่ตกไม่ไกลต้น...
ตลอดเวลาที่อยู่ที่โรงเรียน มาวิค่อยๆเรียนรู้ที่จะปรับตัวให้เข้ากับสภาพแวดล้อม แต่ตลอดเวลามาวิคิดถึงแต่บ้าน คิดถึงป่า
“ในชั่วโมงวาดเขียน เมื่อครูให้วาดรูปตามใจชอบ มาวิได้วาดรูปท้องทุ่งกว้าง มีดอกไม้บานสว่างไสว มีเด็กหนุ่มคนหนึ่งกำลังเดินไปกลางทุ่ง เขาสะพายปืนด้วย เบื้องบนหัวของเขา เหยี่ยวภูเขากำลังโบยบิน และแทบเท้าของเขา ดอกทานตะวันป่าแต้มสีเหลืองพรายให้ทุ่งหญ้าและยอดเนิน”
นอกจากการวาดรูปแล้วมาวิยังได้แสดงความชัดเจนในสิ่งที่เขาอยากเป็นด้วยการเขียนเรียงความในหัวข้อ ”ผมอยากเป็นนายพราน” ส่งคุณครู ในขณะที่เด็กคนอื่นๆมีความฝันมากมาย ทั้งตำรวจ นายอำเภอ คุณหมอ ทุกความฝันล้วนสวยงามเสมอ หากแต่มาวิยังคงยืนยันที่จะเป็นนายพรานเหมือนกับพ่อของเขา
มาวิเป็นเด็กดื้อ แต่มาวิก็เป็นเด็กรักดี และหัวดี เขาได้รับคัดเลือกให้ไปเรียนต่อในเมือง แต่มาวิกลับส่ายหน้าปฏิเสธ เพราะรู้ว่าไปเรียนในเมืองจนจบมอสอสามก็ยังไม่มีใครสามารถ ”เป็น” ในอาชีพที่ตนเองได้วาดฝันเอาไว้ ได้ ทั้งหมอ นายอำเภอ และอีกหลายๆความฝันสีสวยของเด็กๆ ยิ่งเรียนสูงขึ้นไป ก็ยิ่งต้องแก่งแย่งแข่งขันกันมากยิ่งขึ้น
แต่อาชีพ ”นายพราน” ของมาวิไม่มีคู่แข่ง และไม่มีการสอนในโรงเรียน
มาวิเรียนรู้วิถีของป่ามาจากการใช้ชีวิตอยู่ในป่ากับพ่อของเขามาเป็นอย่างดีแล้ว ดังนั้นเขาจึงคิดว่าตนเองไม่จำเป็นต้องเรียนต่อ เพื่อต่อสู้แข่งขันกับคนอื่น
ความเด็ดเดี่ยวแน่วแน่ และรักในบ้านเกิดของตนเองได้ทำให้มาวิตัดสินใจในสิ่งที่พ่อและทุกๆคนไม่คาดคิดมาก่อนอีกครั้ง แต่ครั้งนี้พ่อของมาวิยอมรับได้แล้วกับสิ่งที่เขาได้เลือก
เรื่องราวของมาวิ ไม่ได้เพียงแค่ชี้ให้เห็นถึงการปลูกฝังความคิดให้กับเด็กๆของคนที่เป็นผู้ใหญ่เท่านั้น หากแต่ทำให้ฉันอดที่จะตั้งคำถามไม่ได้ว่า จะมีคนพลัดถิ่นเข้ามาสู่เมืองสักกี่คน ที่มีสำนึกรักบ้านเกิดอย่างมาวิ
..... ..... ..... .....
ชื่อหนังสือ:ทุ่งหญ้าสีน้ำเงิน
(รางวัลชมเชยประเภทบันเทิงคดีสำหรับเยาวชนก่อนวัยรุ่น จากคณะกรรมการพัฒนาหนังสือแห่งชาติปี 2521)
นักเขียน:พิบูลศักดิ์ ละครพล
จัดพิมพ์โดย:แพรวสำนักพิมพ์


--------------------------------
" All Copyright©Nanthanatcha "

จงยิ้มให้กับความทุกข์ แล้วเราจะเป็นสุขที่สุดในโลก

เมื่อก่อนเวลาที่ฉันมีความทุกข์ ฉันก็มักที่จะคิดว่า ตัวเองเป็นคนที่มีความทุกข์มากที่สุดในโลก
เหมือนตัวเองต้องแบกเอาโลกทั้งใบเอาไว้คนเดียว ไม่มีใครมาช่วยแบ่งเบา
กะแค่เรื่องอกหัก แมวตาย หรืออะไรต่อมิอะไรมันไม่ได้เป็นไปตามที่ใจคาดหวัง
ฉันก็ร่ำๆจะเป็นจะตายซะให้ได้ เปล่าประโยชน์ที่จะมีชีวิตอยู่ต่อไปเพื่อเป็นทุกข์
ไม่ได้แตกต่างกับมนุษย์คนอื่นเลย

เวลานี้ ฉันก็ยังเป็นแบบนั้นอยู่ เพราะฉันยังเป็นแค่มนุษย์ตัวเล็กๆธรรมดา เพียงแต่ว่า...
ฉันเห็นคุณค่าของการมีชีวิตอยู่มากขึ้น
ฉันดีใจที่ทุกวันนี้ยังมีโอกาสที่จะเลือกการมีชีวิตอยู่ ถึงแม้ว่าหลายๆครั้งจะต้องอยู่เพื่อที่จะเป็นทุกข์ก็ตาม



เพราะโศกนาฏกรรมสึนามิเมื่อหลายปีก่อน ทำให้ฉันได้รู้ว่า การยังมีชีวิตอยู่มีคุณค่ามากแค่ไหน
คนที่เสียชีวิตในโศกนาฏกรรมครั้งนั้น เขาไม่มีโอกาสที่จะเลือกว่า จะได้มีชีวิตอยู่ต่อไปหรือเปล่า
ถึงแม้ว่าจะดิ้นรนเหนี่ยวรั้งสักแค่ไหนก็ตาม

แล้วทำไมฉันต้องทำลายชีวิตของฉันเองด้วยล่ะ

ตอนนี้เวลาที่ฉันทุกข์ ฉันจะพยายามที่จะยิ้มให้กับมัน ไม่เอาตัวเองลงไปจมอยู่กับความทุกข์โศก
เพราะว่าฉันไม่ได้แบกโลกใบนี้เอาไว้ แล้วฉันก็คงไม่ใช่คนสุดท้ายของโลกที่มีความทุกข์ด้วย


แค่เรายิ้มให้กับมันได้ ไม่ว่าปัญหามันจะหนักหนาสักแค่ไหน มันก็จะเบาลง
ยิ่งขบคิดวกวนอยู่กับปัญหา ก็ยิ่งไม่มีสติ พอไม่มีสติ ก็ไม่มีปัญญาที่จะแก้ไข

ดังนั้น เจอปัญหาที่หาทางออกไม่ได้เมื่อไหร่ ก็จงทำเป็นลืมมันไปซะ
ไปเที่ยวเล่น ไปใช้ชีวิตซะให้สาสม แล้วค่อยกลับมาคิดใหม่วันหลังก็ยังได้
แต่อย่าเพิ่งทำลายชีวิตตัวเองก็แล้วกัน เพราะนั่นจะแปลว่า...
เรากำลังประเมินคุณค่าตัวเองผิดพลาดอย่างไม่สามารถให้อภัยได้

--------------------------------
" All Copyright©Nanthanatcha "

วันอังคาร, มิถุนายน 19, 2550

เรื่องของพูห์ หมีสมองเล็ก


เรื่องของพูห์-หมีสมองเล็ก


เดิมทีฉันรู้จักกับพูห์ในนามของหมีพุงโล ท่าทางใจดี เป็นมิตรกับทุกๆคนที่อยู่รอบข้าง มีเพื่อนมากมายอยู่ในป่าร้อยเอเคอร์ และมีเพื่อนรักเป็นหมูสีชมพูตัวน้อย ชื่อพิกเลต
แต่ทันทีที่ฉันได้อ่าน “บ้านมุมพูห์” จบลง ฉันก็ได้รู้ว่าจริงๆแล้วพูห์มีอะไรที่น่าสนใจมากกว่าที่ฉันเคยคาดคิด ถึงแม้ว่าจะรู้สึกผิดอยู่เล็กๆที่ได้อ่านวรรณกรรมเล่มนี้ในวัยที่ไม่น่าจะเข้าใกล้กับอะไรที่ถูกจำกัดความว่าการ์ตูนและวรรณกรรมเด็กแล้วก็ตาม แต่ฉันก็ดีใจ ที่ฉันได้ทำความรู้จักกับตัวตนของพูห์ และยิ่งรู้สึกปลาบปลื้มเข้าไปใหญ่ เมื่อชายหนุ่มที่ยื่นหนังสือเล่มนี้ให้บอกว่าฉันมีอะไรหลายๆอย่างที่คล้ายกับพูห์ และหนังสือเล่มนี้ก็เป็นหนังสือเพียงเล่มเดียวที่สามารถทำให้นักดนตรีผู้ไม่รักอ่านอย่างเขาอ่านได้จบจนเล่มด้วยความเต็มใจ
พูห์ร้องเพลงไม่เก่ง และแต่งเพลงไม่เอาไหน แต่ว่าพูห์ก็ชอบที่จะฮัมเพลงอยู่เป็นกิจวัตร และรักที่จะแต่งกวีนิพนธ์อยู่ตลอดเวลา
ที่ตรงนี้
อบอุ่นดีมีแดดสดใส
เป็นของพูห์
ซึ่งไม่รู้จะทำอะไร
อ้อ...ลืมไป
ของพิกเลตก็เหมือนกัน
และพูห์ก็มักจะถามพิกเลตเสมอว่าเพลงที่เขาแต่งเป็นยังไงบ้าง ถึงแม้ว่าพิกเลตจะไม่เคยให้คำตอบที่เป็นเรื่องจริงจังได้เลยสักครั้งก็ตาม
“ฉันเพียงแต่นึกสงสัย จะเป็นยังไงนะถ้าเรากลับบ้านไปเดี๋ยวนี้เพื่อซ้อมร้องเพลงของนาย แล้วค่อยร้องให้อียอร์ฟังพรุ่งนี้ หรือ หรือวันถัดไป เมื่อเราบังเอิญเจอมัน”
แล้วพูห์ก็มักจะทำตามที่พิกเลตบอกเสมอ เพราะพูห์ไม่เคยคิดว่าผู้เป็นเพื่อนจะแฝงเจตนาร้ายไว้ในถ้อยคำที่พูดจาต่อกัน ดังนั้นพูห์กับพิกเลตจึงไม่เคยมีเรื่องขัดแย้ง ทะเลาะเบาะแว้งกันเลยสักครั้ง
ในป่าร้อยเอเคอร์จะมีอาวล์เป็นผู้รอบรู้ประจำป่า พูห์ยอมรับในความไม่รู้ของตัวเองด้วยการไปหาอาวล์เสมอเมื่อพบเจอกับเรื่องที่เกินความสามารถของตัวเอง มันรู้ว่ามันไม่สามารถที่จะอ่านข้อความที่คริสโตเฟอร์ โรบินเขียนไว้ที่หน้าประตูได้ พูห์จึงขอให้อาวล์ช่วยอ่าน เมื่อมันอยากเขียนคำอวยพรวันเกิดให้อียอร์ มันก็ขอให้อาวล์ช่วยจัดการให้ โดยไม่เคยคิดว่าการกระทำแบบนั้นของตนเองจะทำให้คนอื่นดูถูกว่ามันไม่ฉลาดเอาซะเลย พูห์ยอมรับในความฉลาดน้อยของตนเองอย่างจริงใจ
พูห์รักเพื่อน เท่าๆกับที่รักตัวเอง เมื่อถูกคริสโตเฟอร์ โรบินถามคำถามยากๆที่ว่า...
“นายชอบทำอะไรที่สุดในโลก พูห์”
...มันจำเป็นต้องหยุดคิด เพราะถึงแม้การกินน้ำผึ้งจะเป็นสิ่งที่น่าทำมาก แต่มันไม่รู้จะเรียกสิ่งนั้นว่าอะไร และแล้วมันจึงคิดว่า การอยู่กับคริสโตเฟอร์ โรบินเป็นสิ่งที่น่าทำมาก และการมีพิกเลตอยู่ใกล้ๆก็เป็นสิ่งที่อบอุ่นมาก ดังนั้น เมื่อคิดอย่างละเอียดดีแล้วมันจึงบอกว่า
“ที่ฉันชอบมากที่สุดในโลกนี้ทั้งโลกก็คือ ฉันกับพิกเลตไปหานาย และนายพูดว่า อะไรสักนิดหน่อยดีมั้ย? และฉันพูดว่า เอ้อ ฉันไม่รังเกียจอะไรนิดๆหน่อยๆหรอก นายก็เหมือนกันใช่มั้ยล่ะพิกเลต และวันนั้นก็เป็นวันที่ว่ามีเพลงลอยอยู่ข้างนอก และนกกำลังส่งเสียงร้อง”
ถ้าพูห์ตอบว่ามันชอบการกินน้ำผึ้ง เพื่อนรักทั้งสองคนของมันก็จะเสียใจ แต่ถ้าหากพูห์ตอบว่าชอบไปหาคริสโตเฟอร์ โรบิน ก็มีจะมีพิกเลตที่รู้สึกเสียใจ และถ้าพูห์ตอบว่าชอบการอยู่กับพิกเลต คริสโตเฟอร์ โรบินก็จะรู้สึกเสียใจเช่นเดียวกัน ดังนั้นมันจึงพูดออกไปแบบนั้นได้ ทั้งๆที่สมองของมันเล็กมากเกินกว่าที่จะขบคิดอะไรที่ลึกซึ้งวกวนได้มากมายนัก
พูห์สามารถที่จะรวบรวมสิ่งที่มันชอบที่สุดในโลกสามอย่างไว้ได้ในคำตอบเพียงคำตอบเดียว เพราะพูห์พูดออกไปตามที่พูห์รู้สึกนั่นเอง
มีอะไรมากมายในตัวพูห์ที่พูห์ไม่เคยรู้ว่ามันเป็นแบบนั้นมาก่อน จนเมื่อวิถีชีวิตของมันต้องผ่านไปเจอกับอุปสรรคหรือปัญหา ความสามารถที่พูห์มีจะถูกแสดงออกมาด้วยสัญชาตญาณของมัน พูห์ไม่ทอดทิ้งเพื่อน ในวันที่เกิดน้ำท่วม พูห์ทุ่มเทช่วยเหลือพิกเลตเพื่อนตัวเล็กของมันอย่างสุดแรง นอกจากที่พูห์จะค้นพบสิ่งที่คริสโตเฟอร์ โรบินตั้งชื่อว่า”สมองพูห์”แล้ว มันยังค้นพบความกล้าหาญของตัวเองอีกด้วย
หลังจากที่ฉันได้รู้จักพูห์มากขึ้น ฉันก็หลงรักพูห์อย่างถอนตัวไม่ขึ้น หลงรักในความสมองเล็ก หลงรักในความจริงใจ หลงรักในการยอมรับตัวเองของพูห์
ฉันไม่ได้ถามเจ้าของหนังสือ”บ้านมุมพูห์”ที่อยู่ในมือ ว่าอะไรหลายๆอย่างในตัวฉันที่คล้ายพูห์นั้นมีอะไรบ้าง แต่ฉันก็ดีใจที่มีเสี้ยวหนึ่งของตัวตนที่ใกล้เคียงกับพูห์อยู่ แม้ว่าสิ่งนั้นจะหมายถึงการเป็นหมีที่สมองเล็กก็ตาม
เพราะเป็นหมีสมองเล็ก ที่มีคนรักมหาศาล
...... ...... ...... ......
ตัวเอียง:คัดลอกจากหนังสือ
หนังสือ:บ้านมุมพูห์

จัดพิมพ์โดย:แพรวสำนักพิมพ์


(บความตีพิมพ์ : นิตยสารไอน้ำ ฉบับที่१९ ปี २५५०)


--------------------------------
" All Copyright©Nanthanatcha "

วันจันทร์, มิถุนายน 18, 2550

นาฎกรรมเมืองหรรษา...ว่าด้วยการเต้นรำของโชคชะตา


นาฏกรรมเมืองหรรษา-ว่าด้วยการเต้นรำของโชคชะตา

ภาพของฝูงชนที่พากันหอบหิ้วสัมภาระพะรุงพะรัง ยื้อแย่งกันจับจองรถโดยสารประเภทต่างๆเพื่อมุ่งหน้าออกจากกรุงเทพมหานคร ในช่วงที่มีวันหยุดยาวตามเทศกาลต่างๆ ทำให้ฉันรู้ว่า จริงๆแล้วประชากรที่แออัดกันอยู่ในกรุงเทพฯนั้น ไม่ได้มีภูมิลำเนาอยู่ที่นี่ หากแต่เดินทางมาจากทั่วทุกสารทิศของประเทศไทย แล้วกลับไปใช้ชีวิตที่บ้านเกิดอีกครั้งเพียงปีละไม่กี่วันเท่านั้น
แล้วเมืองเล็กๆที่มีพื้นที่เพียงไม่กี่ตางรางกิโลเมตรที่ชื่อกรุงเทพฯมีอะไรดีนักหนา ทุกคนถึงได้โหยหาทะยานอยากที่จะเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของประชากรที่ดิ้นรนเพื่อความอยู่รอดไปวันๆที่นี่กันนัก
“ฉันคนหนึ่งล่ะที่รู้สึกไม่ค่อยสนุกนักกับการดำเนินชีวิตอยู่บนการยื้อแย่งแข่งขัน”
**กิจวัตรยังคงเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลง... เขายังคงตื่นนอนเวลาเดิม ขับมอเตอร์ไซด์ฝ่าการจราจรอันแสนสาหัสบนถนนเส้นเดิมๆ เร่งรีบไปให้ทันเวลาเข้าเวร จากนั้นก็ก้มหน้าก้มตาทำงาน
นี่เป็นเพียงหนึ่งฉากอันซ้ำซากของมนุษย์เงินเดือนซึ่งสามารถมองเห็นได้ชัดด้วยตาเปล่า แต่ยังมีอีกหลายฉากที่เกิดขึ้นซ้ำซากในจิตใจซึ่งไม่มีใครสามารถมองเห็นมันได้ชัดเจนเท่าผู้ที่เป็นเจ้าของชะตากรรม ไม่ว่าจะเป็นการอิจฉาริษยากันในองค์กร การแข่งขันกันประจบสอพลอเพื่อตำแหน่งและเงินเดือนที่สูงขึ้น การถูกกดขี่จากผู้ที่มีอำนาจเหนือกว่าโดยไม่สามารถปริปากบ่นและเรียกร้องความยุติธรรม
...เป็นการเอาความศิวิไลซ์ของชีวิตตนเองเข้ามาให้คนอื่นย่ำยีโดยแท้
ถึงแม้ว่าฉันจะต้องพบเจอชะตากรรมที่ซ้ำซากแบบนี้ในที่ทำงานอยู่บ้าง แต่ก็นับว่าโชคดีกว่าคนอื่นๆอยู่ไม่น้อย ที่พระเจ้าส่งให้ฉันมาเกิดและเติบโตอยู่ในเขตชานเมืองของเขา ที่นี่ทำให้ฉันไม่ต้องอุดอู้อาศัยอยู่ในห้องเช่าคับแคบที่ห้ามเปิดเพลงเสียงดัง ได้กินกับข้าวฝีมือแม่ที่อร่อยและปลอดภัยกว่าอาหารสำเร็จรูปที่ขายกันอยู่เกลื่อนกลาด มีเสียงนกร้อง ไก่ขันปลุกทุกเช้าโดยที่ไม่ต้องสะดุ้งตื่นขึ้นมากลางดึก เพราะการแผดเสียงจากมอเตอร์ไซด์ของบรรดาเด็กแว้นท์* อยากอยู่เงียบๆเพื่อคิดอะไรเพลินๆเมื่อไหร่ก็แค่แวะไปที่สวนผลไม้ ไม่ต้องไปเสาะหามุมปลอดคนในร้านกาแฟของศูนย์การค้าแล้วตั้งชื่อมันว่า”มุมสงบ”ทั้งๆที่มันอีกทึกสิ้นดี ฉันโชคดีที่มีโอเอซิสท่ามกลางทะเลทรายอันแล้งไร้น้ำใจให้กับผู้อื่นเป็นของตัวเอง ทำให้บรรเทาความเหนื่อยล้าในการดำเนินชีวิตในเมืองแห่งนี้ลงไปได้มาก ซึ่งต่างจากคนอื่นๆที่เลือกทอดทิ้งถิ่นฐานบ้านเกิด เข้ามาลงหลักปักฐานอยู่ที่นี่เพราะหวังที่จะตั้งตัวได้ แต่ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปสักกี่ปี ก็ยังต้องอาศัยซุกหัวนอนอยู่ในพื้นที่ไม่ถึงสิบตารางเมตรเหมือนเก่า ด้วยคำจำกัดความของการ”เช่า”ทำให้ต้องถูกจำกัดจำเขี่ยไปซะทุกกระเบียดนิ้ว ทำให้ต้องหิ้วตัวเองออกไปตะลอนหาเสรีภาพในการกินการใช้อยู่ที่ศูนย์การค้าช่วงวันหยุด รวมกับเพื่อนร่วมชะตากรรมอีกนับไม่ถ้วน
ไม่บ่อยนักที่คนสมาธิสั้นมากๆอย่างฉันจะอ่านหนังสือสักเล่มได้แบบรวดเดียวจบ และ”นาฏกรรมเมืองหรรษา” ก็เป็นอีกหนึ่งในจำนวนหนังสือไม่กี่เล่มที่ฉันสามารถทำได้สำเร็จ ซึ่ง ชาติวุฒิ บุณยรักษ์ คนที่เขียนหนังสือเล่มนี้ได้เล่าให้เห็นถึงสภาพความเป็นอยู่ มุมมอง รวมไปถึงความรู้สึกนึกคิดของคนที่ต้องดำรงชีวิตอยู่ในเมืองเล็กๆ อันแสนแออัดไปด้วยจำนวนประชากร และอัตคัดขาดแคลนซึ่งความเห็นอกเห็นใจของเพื่อนร่วมสังคมแห่งนี้ได้อย่างชัดเจน
**เพราะโลก...ไม่เหมือนก่อน
**เคยชินอันเกิดจากการกระทำซ้ำๆจากสื่อที่ตอกย้ำข่าวสารโศกนาฏกรรมในรูปแบบต่างๆทั้งเช้าเย็น ผ่านหน้าหนังสือพิมพ์ ผ่านจอโทรทัศน์ แทรกมากับคลื่นวิทยุ กระทั่งในเครือข่ายอินเตอร์เน็ต... อีกทั้งยังมีความแปลกที่ ต่างถิ่นของซึ่งกันและกัน เป็นอีกหนึ่งตัวแปรสำคัญที่ทำให้ผู้คนแปลกหน้าที่เบียดเสียดยัดเยียดกันอยู่ในเมืองนี้ เต็มไปด้วยความไม่ไว้เนื้อเชื่อใจ และดูดายต่อความทุกข์ทน เจ็บปวดของผู้อื่น
ยังจะมีอีกมั้ยคนที่มีน้ำใจ กดลิฟท์รอคนอื่นอย่างในหนังโฆษณาบนจอทีวี
ยังจะมีอีกมั้ยผู้ชายที่เข้มแข็ง พอที่จะเสียสละที่นั่งบนรถโดยสารให้เด็ก สตรี และคนชรา โดยไม่ต้องติด ป้ายประจานสามัญสำนึกว่า “กรุณาเอื้อเฟื้อ...
” ยังจะมีอีกมั้ยคนที่ยิ้มให้ แล้วพูดคำว่าขอบคุณ ขอโทษ และไม่เป็นไรกับเพื่อนร่วมสังคม
หรือว่า...ความเจริญทางวัตถุที่เข้ามาได้ทำลายความดีงามในจิตใจของมนุษย์ลงไปพร้อมๆกัน? และในความซ้ำซากของวงจรการดำเนินชีวิตในแต่ละวันก็ได้แฝงเร้นเรื่องผจญภัยอันน่าตื่นเต้นไว้อย่างแนบเนียน ซึ่งเป็นผลมาจากการดิ้นรนเพื่อความอยู่รอดของตนเองเป็นใจความสำคัญ ฉันเปิดหน้าหนังสือขึ้นมาอีกครั้ง และก้มหน้าอ่านอย่างตั้งใจในโมงยามที่รู้สึกว่าพลังชีวิตเริ่มที่จะอ่อนล้า ต้องการเยียวยาตัวเองให้พ้นจากสภาพคล้ายเครื่องจักรของเมืองหลวง แล้วหนังสือเล่มนี้ก็บอกกับฉันว่า...
“ไม่ได้มีแค่ฉันคนเดียว ที่ไม่สามารถกำหนดจังหวะให้กับการเต้นรำของโชคชะตาตนเอง”
----------
*เด็กแว้นท์ หมายถึง วัยรุ่นที่ชอบนำรถมอเตอร์ไซด์ซึ่งผ่านการดัดแปลง แต่งเครื่องยนต์ให้มีเสียงดังกว่าปรกติ ออกมาขับแข่งกันบนถนนหลวงเวลากลางคืน โดยเฉพาะในช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์
**ตัวเอียง คัดลอกจากหนังสือ
ชื่อหนังสือ...นาฏกรรมเมืองหรรษา
นักเขียน...ชาติวุฒิ บุณยรักษ์

(บทความตีพิมพ์ นิตยสาร คอ คน ฉบับเดือน พฤษภาคม 2550)
--------------------------------
" All Copyright©Nanthanatcha "