วันศุกร์, กรกฎาคม 27, 2550

เคยเลี้ยงแมวรึเปล่า?

โต๋เต๋ กะ ต้องตา เป็นผลผลิตของวาฬน้อย กะถุงทรัพย์
ถูกขอมาเลี้ยงตั้งแต่ยังเล็ก จนป่านนี้ โตแล้ว...
แต่ว่า เจ้าสองตัวนี้ คงคิดถึงแม่ และคิดว่าตัวเองยังเด็กอยู่
สองตัวนี่ มี"แม่หมี" และ "ผ้าเน่า" เป็นของรักของหวง
แม่หมี...คือตุ๊กตาหมีเน่าๆของฉันเอง ซึ่ง ณ ตอนนี้เป็นแม่(สมมุติ)ของเด็กๆไปแล้ว
ผ้าเน่า...คือเศษผ้าเล็กๆสีแดง ซึ่งหลุดมาจากผ้าเช็ดเท้า เป็นของเล่นชิ้นโปรดของเด็กๆ
--------------------
ตอนนี้"รัก"เด็กๆสองตัวนี้มาก แต่ว่า "ยังไม่เท่ารักวาฬน้อย"
คิดถึงวาฬน้อย...คิดถึงวาฬน้อย...คิดถึงวาฬน้อย...คิดถึงวาฬน้อย
--------------------
เด็กๆสองตัวนี้ ไม่มีปลอกคอใส่
แต่ฉันเชื่อว่า มันรู้ว่า ฉันรักมันมากแค่ไหน
และฉันก้อคิดว่ามันรักฉันมากๆเช่นเดียวกัน
เพราะว่า เด็กๆติดฉันแจเชียว
ถ้าฉันอยู่ในห้อง สองตัวนี้ก้อจะไม่ไปไหน อยู่ในห้อง วิ่งบ้าง นอนบ้างไปตามเรื่อง
ฉันเดินลงข้างล่างเมื่อไหร่...วิ่งตาม
ถ้าหากว่า อยากเล่นข้างล่าง จะเพียรเดินมาเรียก ให้ลงไปอยู่ข้างล่างเป็นเพื่อนกัน
นั่นคือการแสดงออกซึ่งความรักแบบแมวๆ
--------------------
แต่กับบางคน...แม้ว่าจะพยายามแสดงความเป็นเจ้าของเค้ามากแค่ไหน
เราก้อครอบครองเค้าไม่ได้ เพราะหัวใจเค้าไม่ได้ภักดีต่อเรา
--------------------

--------------------------------
" All Copyright©Nanthanatcha "

วันอังคาร, กรกฎาคม 24, 2550

พัทยา...ฮาเฮ

แม้ว่าจุดประสงค์หลักของการไปพัทยาในครั้งนี้จะบั่นทอนบรรยากาศอันควรจะรื่นเริงของการไปทะเลไปมากโข แต่พลพรรครักความหรรษาอย่างฉันกับเพื่อนร่วมงานอีกเจ็ดแปดคน ก็ไม่ย่อท้อต่อการแสวงหาความสุขเล็กๆน้อยๆใส่ตัวจากการเดินทาง
พวกเราออกเดินทางด้วยรถตู้มุ่งหน้าสู่พัทยาตอนทุ่มกว่า ความเคร่งเครียดจากการทำงานมาทั้งวัน บวกกับความโหยหิวจนไส้กิ่วของฉันทำให้หมดกะจิตกะใจที่จะหาความบันเทิงใส่ตัวในคืนแรกของการไปถึง พอเช็คอินได้ ก็สลบไศล หลับเป็นตายจนรุ่งเช้า
หลังจากที่ได้อิ่มหนำกับบุฟเฟ่ต์อาหารเช้าแบบนานาชาติของดุสิตธานีแล้ว ฉันกับเพื่อนก็เริ่มสอดส่ายสายตาทำท่าจะคว้าหนุ่มสาวตาน้ำข้าวที่เดินอยู่เกลื่อนกลาดมายากระเพาะสักสามสี่คน แต่ความบันเทิงเริงใจที่ยังไม่ได้เริ่มต้นก็มีอันต้องปี้ป่นย่อยยับ เมื่อเจ้านายประกาศเส้นตายให้ทุกคนไปถึงห้องสัมมนาของโรงแรมที่จองไว้ภายในสิบนาที ...เพิ่งจะสำนึกได้ เจ้านายไม่ได้พาพวกเรามาเที่ยวนี่หว่า แค่พามาเปลี่ยนบรรยากาศของการประชุมงานเท่านั้นเอง
พวกเราเดินออกห้องประชุมตอนห้าโมงเย็นกว่าๆในสารรูปที่คล้ายไปออกรบมาสักเจ็ดสมรภูมิ หน้ามืดตาลายคล้ายจะขาดใจตายในอีกไม่กี่วินาทีข้างหน้า ไม่ได้มีสาเหตุมาจากความโหยหิว ท้องไส้มันลืมเวลากินข้าวเย็นเพราะการประชุมแบบปิดประตูตีแมวของเจ้านาย นอกจากจะแอบหลบอู้ไม่ได้แล้วยังบังคับให้ปิดมือถืออีกต่างหาก กว่าจะตั้งหลักได้ ก็ตอนที่เจ้านายพาพวกเรามานั่งหรูหราอยู่ในร้านอาหารริมทะเลเป็นการปลอบขวัญ มืดมิดจนมองไม่เห็นอะไร พวกเราก็เลยไม่ตื่นเต้นกับได้โต๊ะที่ติดกับทะเล ทรมานใจกันมาทั้งวันฉันก็เลยกระหน่ำกินซะให้สาสม แต่เจ้านายก็ไม่เปิดโอกาสให้ฉันเอาคืนได้นานนัก หักหาญน้ำใจกันอีกรอบ ด้วยการสั่งเช็คบิลด่วน แล้วนำขบวนเคลื่อนพลกลับขึ้นรถตู้ เมื่อรู้ว่ากำหนดโชว์อลังการที่ตั้งตาจะดู กำลังจะถึงเวลาเริ่มต้นอยู่รอมร่อ
พอลงจากรถตู้ได้ฉันก็ยิ่งคับแค้นใจ เจ้านายพาพวกเรามาที่ไหน ทำไมมันถึงได้ดูร้างผู้คนได้ขนาดนี้ ตรงบริเวณที่จอดรถมีแค่รถบัสขนาดใหญ่จอดอยู่สามสี่คัน แล้วดีกรีความเซ็งของฉันก็ยิ่งพุ่งปรี๊ดเข้าไปใหญ่ เพราะนอกจากจะมีราคาบัตร(ที่อุตส่าห์เลือกแบบไม่รวมอาหารแล้วนะ)ที่แพงแบบมหาบรรลัย แล้วยังห้ามถ่ายรูปอีกต่างหาก พอหลุดผ่านเข้าประตูไปได้ก็ต้องตื่นตาตื่นใจกับเด็กผมจุกในชุดไทยที่วิ่งไปวิ่งมา บรรยากาศรอบข้างทำให้รู้สึกราวกับว่าได้ย้อนเวลาเข้าไปอยู่ในยุคเมื่อหลายร้อยปีก่อน ระหว่างที่เข้านั่งรอชมการแสดงอยู่ในฮอลล์ พวกเราก็ลุกขึ้นยืนทำความเคารพเพลงสรรเสริญพระบารมีอย่างพร้อมเพรียง และเมื่อมองไปรอบข้างมีแต่สายตาของชาวต่างชาติที่มองเราแบบแปลกๆ แล้วพวกเขาก็ค่อยๆลุกขึ้นยืนบ้าง บางคนกว่าจะตั้งสติได้ก็เกือบจะจบเพลงแล้วด้วยซ้ำไป ทำให้อดไม่ได้ที่จะรู้สึกภูมิใจ ที่พวกเราได้ทำให้ชาวต่างชาติพลอยเคารพในสถาบันอันเป็นที่รักของเราด้วย
โชว์ของอลังการมุ่งเน้นที่จะแสดงให้เห็นถึงวัฒนธรรม ความเป็นอยู่ของคนไทยในสมัยก่อน ทั้งการหมั้นหมายสู่ขอ เรื่อยต่อไปจนถึงการรบทัพจับศึก จึงทำให้ฉันเลิกสงสัยว่าทำไมที่นี่ถึงได้มีแค่พนักงานเท่านั้นที่เป็นชาวไทย เพราะเพื่อนที่ไปด้วยกันยังแอบนั่งหาว ยกเว้นเจ้านายที่ดูเอ็นจอยมากที่สุด(ทั้งๆที่เป็นคนไทย เอ่อ... ไม่เข้าใจอ่ะ)
สำหรับฉันนับว่าคุ้มค่าเมื่อนำราคาบัตรที่ต้องจ่ายมาเปรียบเทียบกับการแสดงสองชั่วโมงกว่าที่ได้เห็นอีกรอบ เพราะโชว์ดีๆที่ขนช้างตัวเป็นๆมาให้เห็นกันแบบจะจะเป็นโขลงแบบนี้ คงไม่มีบาร์ไหนทำได้แน่ๆ และนับวันสิ่งดีๆที่เก่าแก่ก็มีแต่จะเลือนหายไป ไม่รู้ว่าเป็นเพราะวิถีชีวิตประจำวันหรือว่ากระแสจิตสำนึกของเรากันแน่ที่ก้าวออกห่างจากความรักในชาติบ้านเกิด น่าเสียดายที่คนไทยนึกได้แค่ชื่ออัลคาซ่าเมื่อถามหาสถานบันเทิงในพัทยา ดูเหมือนนอกเหนือจากชาวต่างชาติที่มากับกรุ๊ปทัวร์แล้ว พวกเราจะเป็นคนไทยเพียงกลุ่มเดียวที่แวะเวียนมาในรอบหลายนานของพวกเขา เพราะให้ความสนอกสนใจกับพวกเราเสียจนอยากจะฝากเพื่อนตัวกลมเอาไว้ให้เขาได้ฝึกด้วย พวกเราจะได้หาโอกาสแวะไปอีกบ่อยๆ
ระหว่างที่มุ่งหน้ากลับโรงแรมไม่มีใครพูดอะไร เพราะเจ้านายก็ยังไม่หายอิน ในขณะที่คนอื่นๆทำท่าขมขื่นเสียจนอยากจะอ้วกออกมาเป็นศาลาทรงไทย ให้มันได้ยังงี้ดิ...
เช้าวันที่สองของการประชุมและเป็นวันสุดท้ายที่พวกเราจะได้อยู่ที่พัทยา พวกเราหอบกระเป๋าสัมภาระลงมาเช็คเอ้าท์รอตั้งแต่แปดโมงเช้า ก่อนจะเดินคอตกเข้าห้องสังหารโหดตอนเก้าโมง กว่าจะได้เดินโสลเสลออกมาจากห้องประชุมก็ปาเข้าไปเกือบบ่ายสอง เจ้านายคงปราณีก็เลยตั้งใจที่จะบุ๊คเวลาใช้ห้องสัมมนาไว้แค่นั้น พอขึ้นรถตู้ได้ก็บอกคนขับให้มุ่งหน้าไปที่ร้านส้มตำขึ้นชื่อของพัทยาแบบด่วนๆ พอสมองหายมึนก็เริ่มหิวกันทั่วหน้า เพราะพวกเราพร้อมใจกันหิ้วท้องข้ามมื้อเที่ยงมา ระหว่างที่พวกเรากำลังกินกันอย่างล้างผลาญ เจ้านายก็นั่งหากิจกรรมมากระชับความสัมพันธ์อันดีอยู่แล้วของพวกเราให้แน่นแฟ้นขึ้นไปอีก ถ้าความรู้สึกนึกคิดส่งเสียงได้ เจ้านายจะรู้ว่าพวกเราทุกคนไม่เห็นด้วยเลยแม้แต่น้อย หัวจิตหัวใจมันลอยกลับกรุงเทพฯไปตั้งแต่เมื่อคืนนี้แล้ว
โชคดีที่กิจกรรมแอดเวนเจอร์อย่างเพ้นท์บอลที่เจ้านาย(อีกแล้ว)อยากเล่นปิดกิจการไปแล้ว (เพื่อนที่โทรติดต่อมันบอกว่าอย่างนั้น) แต่พวกเราก็ไม่อาจรอดจากพ้นจากความซาดิสม์เล็กๆของความคิดเจ้านายไปได้ พาพวกเราไปที่แหล่งรวมความบันเทิงตอนกลางวันของพัทยา ทำตัวเป็นหัวแก๊งพาพวกเราเล่นในสวนสนุกทั้งตะลุยเขาวงกตกระจกเงา เข้าไปนั่งดูหนังสามมิติ ชมของแปลกในพิพิธภัณฑ์ลิบลี่ย์ที่เล่นเอาฉันมึนไปเป็นเดือน เพราะดันไปอ่านคู่มืออย่างละเอียดเข้า แล้วไม่สามารถแยกแยะได้ว่าข้อมูลที่ได้อ่านมันจริงหรือหลอกกันแน่ ก่อนจะปิดท้ายที่โกดังผี ที่สร้างทั้งความเสียวความฮาให้พวกเราหยิบมานั่งเม้าท์ได้อีกหลายเดือน
โกดังผีที่สร้างความสยดสยองได้ตั้งแต่ด้านหน้าบริเวณที่ซื้อบัตรผ่านประตู มีกฎเหล็กอยู่ว่าจะมีเชือกขนาดใหญ่ให้หนึ่งเส้นเป็นเหมือนเครื่องรางของขลังที่ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม ห้ามปล่อยมือจากเชือกโดยเด็ดขาด พวกเราพร้อมทำตามอย่างว่าง่าย ยื้อแย่งตำแหน่งที่จะได้ยืนอยู่ในแถวกันอุตลุด ไม่รู้ด้วยความเต็มใจหรือเปล่า แต่เจ้านายของพวกเราก็ได้เป็นคนนำทาง ฉันเดินรั้งท้ายด้วยเหตุผลที่อาวุโสน้อยที่สุดในกลุ่ม (ยังงงจนถึงวันนี้ว่ามันมีส่วนเกี่ยวกันยังไง) เหลียวซ้ายแลขวา ไม่มีเพื่อนร่วมชะตากรรมให้อุ่นใจเลย พาลคิดไปว่านี่ถ้าเกิดการช็อกตายหมู่ขึ้นมาจะมีคนเข้ามาพบศพตอนไหน แต่เจ้านายก็ไม่ปล่อยให้ฉันได้คิดฟุ้งซ่านนานนัก ออกเดินดุ่มๆนำเข้าไปในโกดัง ไม่ปล่อยให้ทำใจกันมั่งเลย
ทั้งๆที่รู้อยู่เต็มอกว่าผีที่โผล่หน้ามาหลอกน่ะของเก๊ แต่บรรดาหญิงสาวซึ่งเป็นประชากรส่วนใหญ่ของพวกเราก็กรี๊ดลั่น อกสั่นขวัญแขวนกันทั่วหน้า ในขณะที่เจ้านายก็ตั้งหน้าตั้งตาดึงเชือกลากพาพวกเราเดินต่อไป และใช้โบรชัวร์ที่ถือติดมือมาปัดๆเขี่ยๆตรงหน้าผีที่โผล่มาหลอก ต้องมีเซ็งกันมั่งแน่ๆที่ดันมาเสียชาติผีกันง่ายๆ และไม่ไยดีแบบนี้ เป้าหมายหลักของผีทั้งหลายจึงอยู่ที่สี่ห้าคนตรงท้ายขบวน ไม่ขออธิบายว่าชุลมุนขนาดไหน แต่สรุปให้เข้าใจง่ายๆว่าตอนที่เดินออกมา ฉันมายืนอยู่หน้าขบวนได้ยังไงก็ไม่รู้ และในมือก็ยังคงถือเชือกเส้นเดียวกันกับเพื่อนๆอยู่แน่นอีกต่างหาก
พวกเราใช้เวลาชั่วโมงกว่าๆที่รถตู้พาพวกเรากลับเข้ากรุงเทพฯให้เป็นประโยชน์ด้วยการหลับใหลไม่ได้สติ พรุ่งนี้ยังมีหน้าที่การงานที่ออฟฟิศรออยู่ นึกขึ้นมาได้ก็อยากจะยื่นใบลาป่วย ลากิจ และพาลคิดสั้นไปถึงขั้นลาออกกับเจ้านายซะพร้อมๆกันในคราวเดียว แต่พอคิดอีกทีเจ้านายไม่จำเป็นต้องพาพวกเรามาไกลขนาดนี้เพียงเพื่อที่จะประชุมงาน ไม่จำเป็นต้องพาไปกินอาหารในร้านอร่อยๆชื่อดังทั้งหลายแหล่ และก็ไม่ต้องพาพวกเราไปเที่ยวเล่นเท่าที่เวลาจะอำนวยแบบนี้ด้วย ถ้าหากเขาเห็นพวกเราเป็นแค่ลูกจ้าง อย่างน้อยๆตอนนี้ก็มีฉันคนนึงล่ะที่เรียกเจ้านายว่า “พี่” แบบที่เจ้านายอยากได้ยินได้อย่างเต็มปาก เพราะเจ้านายได้พิสูจน์ตัวเองแล้วว่าไม่ว่าพวกเราจะอยู่ในสถานการณ์เลวร้ายรูปแบบไหน เจ้านายก็จะเป็นคนแรกที่เผชิญหน้ากับมันเสมอ

--------------------------------
" All Copyright©Nanthanatcha "

วันศุกร์, กรกฎาคม 13, 2550

อย่าเขียนไดอารี่งี่เง่า ที่แม้แต่เรายังอายที่จะอ่าน

“อย่าเขียนไดอารี่งี่เง่า ที่แม้แต่เรายังอายที่จะอ่าน”

ฉันเคยเป็นโรคบ้าเขียนไดอารี่กับเขาเหมือนกันนะ
โดยเฉพาะในช่วงชีวิตที่กำลังมีความรัก ฉันจะเขียนบรรยายทุกอย่างลงไปอย่างบ้าคลั่ง
แค่เขายิ้มให้ เดินสวนทางกัน หรือว่านั่งกินข้าวที่โต๊ะตัวเดียวกับเขา
ฉันก็เขียนเล่าลงไดอารี่ไปได้ตั้งเจ็ดแปดหน้ากระดาษ

แล้วเวลาที่อกหัก ผิดหวัง ก็ซ้ำเติมตัวเองด้วยการเขียนไดอารี่เข้าไปอีก
เพราะเราต้องนั่งนึกถึงภาพเหตุการณ์เก่าๆ เพื่อที่จะได้พรรณนาความรู้สึกลงไปได้อย่างแจ่มชัด


พอปีนึงผ่านไป...
พอฉันคว้าเอาไดอารี่ที่เคยเขียนไว้มาเปิดอ่าน
ฉันก็พบว่า การเขียนไดอารี่ของฉัน เป็นการตอกย้ำความงี่เง่าของตัวเองที่ร้ายกาจที่สุด
เมื่อปีที่แล้วยังฟูมฟาย บอกว่าจะตายซะให้ได้ถ้าชีวิตต้องขาดคนคนนี้ไว้กับไดอารี่

แล้วตอนนี้ ฉันก็ยังมีลมหายใจมานั่งสมเพชความไร้สาระของตัวเองในตอนนั้น
แล้วคนที่เคยบอกว่าขาดเขาไม่ได้ ป่านนี้จะอยู่ตรงไหนของโลกแล้วก็ไม่รู้

ฉันค้นพบว่า...
ไดอารี่ที่แม้แต่ตัวเองยังรู้สึกอับอาย กระดากใจ เวลาที่ได้ย้อนกลับไปอ่าน เป็นไดอารี่ที่ไม่ควรเสียเวลานั่งเขียน
แค่อ่านเองคนเดียว ก็สมเพชตัวเองจะแย่อยู่แล้ว เอาไปออนไลน์ให้คนอื่นอ่านยิ่งแล้วใหญ่
ถ้าเธอภาคภูมิใจในความงี่เง่าของตัวเองก็ไม่มีใครว่าหรอกนะ
แต่ฉันคนนึงล่ะ ที่ไม่เคยรู้สึกแบบนั้น...

--------------------------------
" All Copyright©Nanthanatcha "

ตื่นสาย...โรคร้ายที่ไม่มียารักษา



"ตื่นสาย...โรคร้ายที่ไม่มียารักษา"

ถ้าไม่มีเหตุจำเป็นให้ต้องไปทำธุระ กว่าฉันจะลุกออกจากเตียงได้ก็ตอนที่ใครต่อใครเขาใช้ชีวิตกันไปครึ่งค่อนวันแล้ว
เป็นนิสัยที่ติดตัวมาตั้งแต่เด็ก ตามประสาคนที่ถูกเลี้ยงดูมาแบบนี้
พ่อแม่คงคิดว่า พอโตเป็นผู้ใหญ่ ฉันก็คงหาย ไม่ได้ร้ายแรงอะไร

แต่จนป่านนี้ ฉันก็ยังไม่รู้วิธีแก้ และไม่คิดที่จะโทษพ่อแม่ที่เคยตามใจด้วย
เพราะวันนี้ฉันเป็นโตพอที่จะต้องรู้จักความรับผิดชอบแล้ว

หลายหนที่ฉันต้องอดนอน เพื่อออกจากบ้านแต่เช้าตรู่ เพราะต้องการรับผิดชอบหน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุด
ผลปรากฏว่า ไปทันเวลานัด แต่สมองทำงานแบบขาดๆเกินๆ แทนที่งานนั้นจะออกมาแบบดีที่สุดอย่างที่ตั้งใจ
กลับกลายเป็นแบบขอไปที ผิดพลาดอย่างไม่น่าให้อภัย

เวลาที่ฉันตั้งใจจะตื่นเช้าแบบไม่ต้องรีบร้อนไปไหนทีไร จะมีสายตาหลายๆคู่คอยสบประมาท
แล้วฉันก็มุดหายเข้าไปในผ้าห่มทุกที เวลาที่ได้กลิ่นอุ่นๆของยามเช้า
ตื่นสายก็เลยกลายเป็นอะไรที่แก้ยากกว่านิสัย

แต่วันนึง ในรอบหลายๆเดือนของปี
ทันทีที่ได้ยินเสียงนาฬิกาปลุก ฉันก็ลุกจากเตียงไปอาบน้ำ แล้วเข้าครัวทำข้าวต้มง่ายๆให้ตัวเองกิน เพราะไม่ต้องออกไปทำธุระที่ไหน
เป็นความตั้งใจที่จะตื่นแต่เช้าของฉันเอง

แล้ววันนั้นฉันก็รู้ว่าตอนเช้าไม่ได้มีแค่ความอบอุ่น อ่อนโยน แต่ยังมีพลังชีวิตแห่งการเริ่มต้นมากมายให้ได้สัมผัส
ทำให้ฉันรู้สึกว่าเวลาของตัวเองมีมากขึ้น และรู้สึกสดชื่นในการใช้ชีวิตอย่างบอกไม่ถูก

นอนตื่นสาย เป็นโรคร้ายที่ไม่มียาขนานไหนรักษาได้หายขาด
นอกเสียจากจะเอาชนะตัวเองให้ได้เท่านั้นเอง


--------------------------------
" All Copyright©Nanthanatcha "

เรื่องมหัศจรรย์...คือฉันได้รักเธอ

เรื่องมหัศจรรย์...คือฉันได้รักเธอ

หนังสือ A Change of Sunshine ของ Jimmy Liao ผู้หญิงที่เลี้ยวซ้ายใช้ชีวิตอยู่ห่างจากผู้ชายที่เลี้ยวขวาเพียงแค่ฝาผนังของอพาร์ตเม้นต์กั้นเท่านั้น แต่ว่าทั้งคู่กลับไม่เคยได้พบกันเลย ทั้งๆที่ทั้งสองคนกินอยู่ หลับนอน ดำเนินชีวิตในแต่ละวันอยู่ในเวลาและสถานที่ที่แทบจะซ้อนทับกันได้แนบสนิท
...เพราะการเล่นตลกของโชตชะตา เรื่องรักที่ควรจะง่ายจึงกลับกลายเป็นยาก และเรื่องรักที่คาดไม่ถึงก็มักจะเกิดขึ้นได้จริงเสมอ
ขอบคุณโชคชะตาที่เลือกให้เรื่องรักของฉันอยู่ในหมวดของความมหัศจรรย์ ฉันกับคนรักยืนอยู่ในองศาโลกที่แตกต่างกันลิบลับ มีความฝันกันคนละอย่าง ใช้ชีวิตในโลกของความเป็นจริงคนละใบที่ไม่มีอะไรใกล้เคียงและเกี่ยวพันกันเลยแม้แต่น้อย แต่วันนึงโชคชะตาก็จูงมือฉันกับคนรักให้ได้มายืนหายใจใกล้ๆกันด้วยช่วงเวลาอันแสนสั้น และเรื่องรักมหัศจรรย์ก็ได้เกิดขึ้นระหว่างเรา
นับนิ้วคำนวณความสัมพันธ์จากวันแรกจนถึงวันนี้ ตัวเลขบอกจำนวนปีในปฏิทินได้เปลี่ยนไปเกือบสิบครั้งแล้ว แต่ว่าฉันไม่เคยรู้สึกเบื่อหน่ายหรือเป็นทุกข์ในความรักครั้งนี้เลย แม้ว่าวันนี้ฉันจะเดินออกมาจากธุรกิจด้านไอทีแล้ว แต่ว่าก็ยังไม่สามารถที่จะขยับเข้าใกล้กับงานด้านวิศวะกรของคนรักได้ ความแตกต่างกันในเรื่องของความฝันและการดำเนินชีวิตไม่ได้ทำให้โลกใบที่ฉันกับคนรักใช้ร่วมกันมีสีหม่น
ฉันเองก็ไม่เคยคาดคิดหรอกนะว่าจะเดินจูงมือกับคนรักมาได้ไกลถึงขนาดนี้ และฉันก็เป็นคนประเภทที่ไม่ค่อยมีความพยายามในการหวงแหนรักษาความรักเอาไว้สักเท่าไหร่ด้วย ฉันโชคดีที่ได้พบคนที่เข้าใจ(จนถึงขั้นรู้ทัน)นิสัยของฉันอย่างคนรักคนนี้ และมีความรักให้กันทุกวันโดยที่ไม่ได้ออกแบบและคาดหวัง ฉันจึงมั่นใจว่าแม้วันนึงฉันกับคนรักคนนี้มีอันจะต้องเปลี่ยนชื่อของความสัมพันธ์ที่มีต่อกันเป็นอย่างอื่น ฉันกับคนรักคนนี้จะเป็นเพื่อนสนิทที่ดีต่อกัน
ขอบคุณโชคชะตาที่ไม่ได้กำหนดไว้ว่าฉันต้องเปลี่ยนตัวเองจากเดินเลี้ยวซ้าย มาเป็นเดินเลี้ยวขวา เพื่อที่จะได้พบกับคนรักคนนี้
“รักพี่ใบที่สุดในโลกเลย”

--------------------------------
" All Copyright©Nanthanatcha "

วันศุกร์, กรกฎาคม 06, 2550

อย่ามัวเสียดายรักห่วยๆของผู้ชายเฮงซวยแค่คนเดียว


แค่ผู้ชายคนเดียวที่ได้เดินเข้ามาในชีวิตของเราแค่ไม่กี่วัน เขาเดินกลับออกไป
จะด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม
ทำไมต้องเสียใจมากมาย ฟูมฟายอะไรนักหนา
ในเมื่อเขาไม่ใช่ผู้ชายคนสุดท้ายของโลกใบนี้

แค่ประเทศไทยเพียงอย่างเดียว ก็มีประชาการปาเข้าไปตั้งมากกว่า 60 ล้านคนแล้ว
ถ้าหากมองไปที่ความจริงข้อนี้ เราก็จะเห็นว่า...
เขาเป็นแค่ฝุ่นเล็กๆของเมืองใหญ่ ไม่ได้มีความยิ่งใหญ่อะไรเลย

ยิ่งถ้าหากเป็นฝุ่นเฮงซวย ที่ทำให้เรารู้สึกเคืองตา ระคายจิตใจ จนต้องร้องไห้ด้วยแล้ว
เปล่าประโยชน์ที่จะพิรี้พิไร ทนทรมานตัวเองให้เสียเวลาเปล่า
เปล่าประโยชน์ที่จะเสียดายความรักห่วยๆที่ปลิวเข้าตา
รีบจัดการเขี่ยมันออกไปซะ แม้ว่าอาจจะต้องเสียน้ำตา และเจ็บแปลบอยู่พักหนึ่งก็ตาม
แต่ทันทีที่มันหลุดออกไปได้ เราก็จะมองเห็นอะไรอะไรที่ชัดเจนขึ้น

นั่นเป็นเพราะว่า เราตาสว่างแล้วนั่นเอง

... ... ... ...
บางส่วนจากหนังสือ "ยิ้มให้กับความทุกข์แล้วเราจะมีความสุขที่สุดในโลก"
สำนักพิมพ์ อักขระบันเทิง

ทั้งๆที่เป็นคนเขียนเอาไว้เองว่า "อย่าเสียดาย"
แต่เมื่อคืนฉันกลับทำเรื่องงี่เง่าอีกตนได้
ฉันโทรไปที่บ้านพี่วี...
สี่ทุ่มเศษๆ...เป็นเวลาที่ฉันไม่ค่อยจะได้โทรไปบ่อยนัก (เมื่อก่อนนี้)
เพราะว่าเธอมักจะอยู่ที่ร้านเหล้า กำลังเล่นดนตรี
โทรศัพท์ดังอยู่นาน (ในความรู้สึกของฉัน) กว่าจะมีคนรับ
ฉันบอกไปว่า "ขอสายวี" ฉันไม่เคยเรียกเธอแบบนี้หรอก ...แม่เธอ คนที่รับสายรู้
"เดี๋ยวนะ" แม่เธอบอก ไม่รู้ยังจำเสียงฉันได้มั้ย?
ฉันวางสาย...หัวใจยังสั่น
ไม่ได้พูดกันซักคำ ฉันไม่ยินแม้แต่เสียงของเธอ
เพราะรีบชิงวางสายซะก่อน
แค่นี้ก้อพอแล้ว...แค่ได้รู้ความเป็นไปของเธอ
มันไม่สู้ดีนัก...เธอไม่มีงานที่ร้านเหล้า
ชีวิตไม่ได้อยู่ในช่วงที่ดี ไม่ได้เป็นอย่างที่เคยทำเป็นปากดีกับฉันไว้
"สมน้ำหน้า" อยากพูด อยากเยาะเย้ย
แต่สุดท้าย...ฉันได้แต่อวยพร และอธิษฐาน
ถึงแม้ว่าเราสองคนจะหันหลังให้กันแบบ...ไม่ค่อยสวยนัก
แต่"ภาพความรัก"ของเราสวยงานเสมอนะ...สำหรับฉัน
บทเพลงที่เธอเขียน ยังอยู่ในหนังสือที่ฉันเขียน
ตัวตนของเธอ ยังอยู่ในหนังสือเล่มใหม่ของฉัน
เป็นของที่ระลึกแห่งความรักของเรา
มันทำให้ฉันรู้ว่า "ถึงยังไงก้อไม่เสียใจที่เคยรักเธอ"

--------------------------------
" All Copyright©Nanthanatcha "

ขอความรักบ้างได้ไหม-คำวิงวอนจากหัวใจอันเหว่ว้า

"ขอความรักบ้างได้ไหม-คำวิงวอนจากหัวใจอันเหว่ว้า"
**...ฉันไม่อยากให้เธอพลัดหายไปจากชีวิตของฉัน เธอรักฉันบ้างไหม...”
ในความรู้สึกของฉัน ประโยคสั้นๆซึ่งประกอบด้วยพยัญชนะเพียงไม่กี่พยางค์นี้ ไม่ใช่ประโยคคำถามถามรูปประโยคของหลักภาษาไทยอย่างที่มองเห็นด้วยตาเปล่า หากแต่มันคือหมื่นพันถ้อยคำวิงวอนร้องขอ เมื่อฉันอ่านประโยคนั้นด้วยสิ่งที่เรียกว่า”หัวใจ”
ผู้หญิงตัวเล็กๆคนนึงพาตัวเองหนีจากโลกแห่งความเป็นจริงของตนเองที่แสนโหดร้าย มุ่งหน้าสู่อีกซีกโลกที่ไม่มีใครรู้จัก แม้จะแสนว่างเปล่าและเดียวดายไร้จุดหมาย แต่เธอเชื่อว่าที่นั่นเธอสามารถจมจ่อมตัวเองไว้กับความฟุ้งฝันในแบบที่เธอค้นเจอจากในหน้าหนังสือ
**ทุกสิ่งทุกอย่างดูช่างอ่อนหวาน งดงามไปหมดเลยนะ
ด้วยความตั้งใจของโชคชะตา ได้ทำให้ณูพลัดหลงเข้าไปในความเป็นเพื่อนระหว่างแดนและมาช ผู้ชายสองคนที่พยายามพาชีวิตของตัวเองหนีจากความเจ็บปวด มาจมจ่อมอยู่กับความมืดหม่น เหว่ว้า เดียวดาย และแห้งแล้ง ณูได้กลายเป็นแสงสว่าง ความหวัง ความฝันของเขาทั้งสองคน
และความอ่อนหวานของณูก็ได้ปลอบประโลมให้โลกอันแห้งเฉาใบเดิมน่าอยู่มากยิ่งขึ้น
แม้ว่าแดนผู้ซึ่งเป็นคนรับเธอมาจากถนนอันอ้างว้างและเดียวดายเส้นนั้นจะเป็นฝ่ายหลงรักเธอจนหมดหัวใจก่อน และกล้าหาญพอที่จะเอ่ยปากอ้อนวอนขอปันความรักจากหัวใจของณู แต่กลับมีเพียงการวางเฉยต่อความรู้สึกของแดนตอบรับกลับมา
บางทีอาจจะเป็นเพราะ ณูรู้ตัวว่าตนเองได้ทำให้ความเป็นเพื่อนระหว่างสามคนสูญหายไป แม้ว่าแดนกับมาชจะรักกันมากพอที่จะตายแทนกันได้ แต่ในความเป็นจริงเป็นเรื่องที่เจ็บปวดมากเกินไปที่จะยกสิ่งที่แสนรักซึ่งตนเองโหยหามาตลอดชีวิตให้กับผู้เป็นเพื่อน
แต่สิ่งที่ทำใจได้ยากยิ่งกว่าคือการทำใจให้ยอมรับและทนมองเธอผู้เป็นที่รักเดินออกจากชีวิตไปอย่างลำพังจนสุดสายตา
ในวันที่ณูตัดสินใจพาตัวเองจากไปอย่างคาดหวังว่าน่าจะเป็นวิธีที่ทำให้ทุกอย่างระหว่างทั้งสามคนกลับไปเหมือนเดิม แดนเองก็เลือกที่จะจากไปเช่นกัน
การใช้ชีวิตโดยเปล่าไร้ซึ่งคนที่รักหลงเหลือในชีวิตมันยากเย็นเกินไปที่จะรับมือ
แดนคงรู้สึกเช่นนั้น....
ชุดแต่งงานสีขาวที่เปื้อนเลือดยังคงดูงดงามสำหรับณู เพราะมันคือความฝันเล็กๆที่เธอเคยเล่าให้แดนฟังเพียงครั้งเดียวอย่างไม่ตั้งใจ
ฉันปิดหนังสือลงช้าๆและพยายามหลับตา นึกต่อไปว่า....
ผู้หญิงที่ไม่เคยศรัทธาในความรักอย่างณูจะใช้ชีวิตที่เหลือต่อไปยังไง เมื่อได้รู้ว่าจริงๆแล้วตนเองโหยหาความรักมาตลอดชีวิตเช่นกัน ในวันที่สูญเสียความรักนั้นไปอย่างไม่มีวันได้คืน



** จากหนังสือ
ชื่อหนังสือ...ขอความรักบ้างได้ไหม
นักเขียน...พิบูลศักดิ์ ละครพล


--------------------------------
" All Copyright©Nanthanatcha "

วันพฤหัสบดี, กรกฎาคม 05, 2550

เวตาลวานตอบ-นิทานช่วยหนุด้วย

สวัสดีค่ะเวตาลผู้เป็นที่รัก
การไม่มีเพื่อนบ้านเลว นับเป็นลาภอันประเสริฐ (จริงๆนะ) แล้วเพื่อนบ้านทั้งสามที่เวตาลจัดให้เนี่ย ก็น่ารักใคร่ด้วยกันทั้งนั้นเลย โธ่เอ๊ยยยย เราไม่อยากเลือกที่รักมักที่ชังจริงๆนะเนี่ย ไม่เชื่อเรางั้นเหรอ?... มามะ ขยับเข้ามาสิ เราจะสาธยายให้ฟังว่า แต่ละคนน่ะเป็นเพื่อนบ้านที่เราควรรักให้มากกว่าตัวเองด้วยซ้ำไปยังไงบ้าง
คนที่หนึ่ง...เพื่อนบ้านหมาๆ เอ๊ย...เพื่อนบ้านผู้รักน้องหมา นอกจากเธอจะเห็นมันเป็นมากกว่าพี่น้องที่คลานตามกันมาแล้ว เธออาจจะเชื่อที่กูรู(จริงอะ...)ปากร้ายตัวดำที่ชอบทำท่าว่าช่ำชองไปซะทุกเรื่องในจอทีวี เคยบอกไว้ในหนังสือ(ที่เจ้าตัวเขียนเองจริงๆอะ?)ว่า”ผู้ชายเลวกว่าหมาฯ”ก็เป็นได้ และน่าจะเคยผ่านประสบการณ์เลวร้ายที่มีผู้ชายเป็นสาเหตุมาก่อน แล้วเธอดันเป็นคนประเภทเจ็บแล้วจำ ก็เลยทำใจกลืนน้ำลายตัวเองเหมือนกูรูผู้ชอบโชว์หน้าจอว่าช่ำชองไม่ไหว ขอใช้บั้นปลายชีวิตฝักใฝ่อยู่กับน้องหมา น่าเห็นใจเธอออกนะคะเราว่า เพราะคิดไปคิดมา น้องหมาบางตัวก็น่าเข้าใกล้กว่าผู้ชายบางสายพันธุ์จริงๆซะด้วยสิ
คนที่สอง...เพื่อนบ้านกะบาลโหว่ เอ๊ย...เพื่อนบ้านที่ชอบโชว์(พาว)เวอร์ของตัวเอง คนนี้น่ะน่าคบจะตายไป สมควรที่จะพาไปแนะนำให้เพื่อนๆคนอื่นของเราได้รู้จักกันโดยถ้วนหน้าอีกต่างหาก เพราะหาคบได้ยากแล้วนะ คนประเภทที่ชอบอวดของที่ตัวเองมีแบบนี้อะ มีเธอคนนี้อยู่ใกล้ๆ นอกจากจะรู้สึกเหมือนตัวเองอยู่ในบรรยากาศคอนเสิร์ตอยู่ตลอดเวลา แล้วยังได้เรียนรู้ระดับภูมิปัญญาของเธอโดยที่ไม่ต้องลงทุนคุยด้วยให้เปลืองน้ำลายอีกต่างหาก เห็นไหมล่ะว่า”ของฟรียังมีในโลก” ถ้าหากวันไหนเราอยากได้พบกับความสงบ เราก็แค่หลบไปนั่งวิปัสสนาในป่าช้า ภาวนาว่าดังหนอ โง่หนอ... อุทิศส่วนกุศลให้เธอไป เพื่อชาติหน้าจะระลึกได้ว่าสมควรจะหัดเห็นแก่ตัวซะมั่ง ไม่น่าเปิดเพลงดังเผื่อเพื่อนบ้านให้โง่เลย
คนที่สาม...เพื่อนบ้านสันหลังยาว เอ๊ย...เพื่อนบ้านรถเก๋งยาวเฟื้อย ที่ชอบเอารถคันหรูหราอันช่วยส่งเสริมให้ดูว่ามีชาติตระกูลไฮโซมาจอดโชว์หน้าบ้านเราบ่อยๆ ดีออกจะตายไป เพราะบ้านเราจะได้ดูมีระดับมากขึ้น แม้ว่าสภาพของบ้านเราจะดูโกโรโกโสซะยิ่งกว่าเพิงหมาแหงน แต่ถ้าได้รถคันยาวเฟื้อยหรูหรามาจอดแล้วล่ะก็ ใครๆก็ดูออกด้วยกันทั้งนั้นแหละค่ะว่าคนในบ้านที่ดูไม่ค่อยมีอันจะกินหลังนี้อะนะ จริงๆแล้วมีระดับกว่าบ้านอื่น เป็นระดับของสติปัญญาที่พึงระลึกได้ว่า ไม่ควรเบียดเบียนผู้อื่นยังไงล่ะ เห็นมั้ยว่า...แค่รถของคนอื่นคันเดียว สามารถเปลี่ยนแปลงเราได้จริงๆ ยิ่งชอบเอาขยะมาทิ้งหน้าบ้านเราด้วยแล้วยิ่งดีใหญ่ เป็นการเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่เพราะเธอมีขยะที่เต็มมาจากข้างในแล้ว ก็เลยเผื่อแผ่มาให้เรามั่งไงล่ะ
น่ารักใคร่ใกล้ชิดมากขนาดนี้ เราควรเอาช็อกโกแลตนิสัยดีให้คนไหนกินดีอะ?
ถ้ายัดใส่เข้าปากตัวเองไม่ได้ ต้องกลั้นใจเลือกที่รักแบบสุดๆสักหนึ่งคน เราขอมอบช็อกโกแลตให้กับเพื่อนบ้านคนที่สาม ผู้งดงามด้วยน้ำใจก็แล้วกัน ตอบแทนที่ความเห็นแก่ตัวของเธอนั้นทำให้ชีวิตของเราดีขึ้นในสายตาผู้อื่น แต่ด้วยความที่เรากลัวใจตัวเองว่าจะเหลิง นั่งกระดิกเท้ามองรถเก๋งคันยาวเฟื้อยของคนอื่นที่จอดหน้าบ้านจนเพลิน จนทำให้สันหลังชองเราพลอยยาวตามรถของเธอไปด้วย ไม่ค่อยอยากที่จะก้าวขาออกจากบ้านเท่าไหร่ เพราะนอกจากจะต้องค่อยๆทำตัวลีบเดินออกไปแล้ว ไหนยังจะระแวงกลัวว่าขี้ก้างแห้งๆจะไปขูดโดนรถของเธอเข้าด้วยความหมั่นไส้ จนอยากจะบริจาครอยขีดข่วนให้สักแผลสองแผลอีกต่างหาก ดีไม่ดี บางทีอาจจะมีมือดีแต่ไม่ประสงค์จะออกนามและออกหน้า โผล่มาแล้วจากไปอย่างไร้หลักฐาน ทิ้งไว้เพียงร่องรอยที่ประจานว่ารถคันนี้ถูกโจรกรรม หรือกระทำชำเราด้วยความริษยา เพราะอยากจะได้ไปจอดไว้เชิดหน้าชูตาที่หน้าของบ้านตัวเองมั่ง เมื่อจับมือใครดมไม่ได้ เธอจะยก”ข้อหา”ของตำรวจให้เราเป็นคนแรกอีกอะดิ ในฐานะที่แล้งน้ำใจไม่ช่วยดูแลของของเธอ ที่เธออุตส่าห์เอามาจอดไว้ให้เกะกะเป็นบุญหน้าบ้านของเรา
เมื่อกลั้นใจเลือกได้แล้ว เราก็คงจำเป็นที่จะต้องบังคับให้เธอกลืนกินมันเข้าไปให้หมดๆชิ้น แม้ว่ามันจะทำลายนิสัยแย่ๆของเธอจนสิ้นซากก็ตามเถอะนะ แต่ในเมื่อเราก็อยากที่จะก้าวขาออกจากบ้านแบบภาคภูมิใจมั่งอะนะ จะได้รับรู้ความรู้สึกของเจ้าของบ้านแบบเต็มๆกะคนอื่นเขามั่ง จะได้ไปนั่งวิปัสสนาในป่าช้า ภาวนาดังหนอ โง่หนอจนจิตใจสงบได้สะดวกๆ โหยหิวจนไส้กิ่วขึ้นมาจะได้ตาลายไปคว้าน้องหมาของอีกบ้านมายาไส้อุดกะเพาะได้โดยง่าย เพื่อที่จะมีแรงไปเต้นแร้งเต้นกาสาธิตวิธีเดินในที่สาธารณะแล้วโดนสุนัขที่มีเจ้าของ (บางทีมีสายจูงเส้นยาวราวถนนสุขุมวิทอยู่ในมืออีกต่างหาก) กัดให้ตำรวจดูได้แบบเต็มตายังไงล่ะ เราจึงจำเป็นต้องลดบทบาทของเพื่อนบ้านคนที่สามลง
ถึงตอนนี้ เราก็ยังคงขอคอนเฟิร์มอยู่ดีว่า “การไม่มีเพื่อนบ้านเลว เป็นลาภอันประเสริฐ” แต่ต้องทำนิสัยอันเที่ยงแท้ที่ติดตัวมาของตนเองให้เป็นลาภอันประเสริฐของเพื่อนบ้านให้ได้ซะก่อนด้วยนะ ไม่งั้นตัวเราเองน่ะแหละที่จะเมื่อย...ไหนมือก็ต้องถือสาก แล้วปากก็ยังต้องคาบศีล ลำบากแย่เลย

“ด้วยความรู้สึกดีดี”
ใบข้าว
...... ...... ...... ......
หมายเหตุ:บทความทั้งหมดเขียนขึ้นจากจินตนาการอันคึกคะนอง ต้องอภัยอย่างสูงหากไปพ้องกับพฤติกรรมของบุคคลตัวเป็นๆท่านใดเข้า
(บทความตีพิมพ์ นิตยสาร คอ คน ฉบับเดือน เมษายน 2550)

--------------------------------
" All Copyright©Nanthanatcha "

วันอังคาร, กรกฎาคม 03, 2550

สัมภาษณ์ ”ต้นน้ำ”

สัมภาษณ์ ”ต้นน้ำ”
นอกจากจะเป็นเจ้าของ ”Dream Room” มุมอบอุ่นที่ความฝันของพี่กับน้องได้คุยกัน เกี่ยวกับเรื่องของบทกลอนในนิตยสารวัยรุ่นชื่อดังอย่างไอไลค์แล้ว พี่ต้นน้ำยังมีนิยายขายดีออกมาสู่สายตาของนักอ่านอย่างต่อเนื่อง อาทิเช่น เปิดทริคมาคลิกรัก รักสุดเซอร์กับเธอคนที่หัวใจยอม แกล้งรักเธอดันเจอรักจริง เป็นต้น เรียกได้ว่าเป็นอีกหนึ่งนักเขียนคนขยันที่ hot hit แบบสุดๆ วันนี้นานะจึงขออาสาพาแฟนคลับไปทำความรู้จักกับเธอกันค่ะ...

พี่ต้นน้ำเป็นคนที่รักการอ่านการเขียนมาตั้งแต่เด็กเลยรึเปล่าคะ? ช่วยเล่าประวัติให้ฟังหน่อยสิ
ใช่ค่ะ รักการอ่านและการเขียนมาตั้งแต่เด็ก แต่ถ้าถามว่ารักสิ่งไหนก่อน รักการอ่านก่อนค่ะ ก็คงเหมือนกับเด็กผู้หญิงคนอื่นๆ มั้งคะที่ชอบอ่านการ์ตูนญี่ปุ่น พอโตขึ้นมาหน่อย ก็อ่านหนังสือกลอน อ่านนิตยสารวัยรุ่น เดอะบอย เธอกับฉัน วัยหวาน ประมาณนี้น่ะค่ะ และก็คิดมาเสมอเลยว่าเป็นความโชคดีที่เราโตมาในช่วงที่หนังสือกลอนรุ่งเรืองมาก คือตามแผงหนังสือวัยรุ่นช่วงนั้น หนังสือกลอนนี่มาเป็นอันดับหนึ่ง แล้วพออ่านมากๆ เข้า ก็เกิดความรู้สึกอยากเขียนบ้างแล้ว เขียนบันทึก เขียนกลอนให้เพื่อน แต่ยังไม่ได้คิดว่าฉันจะเป็นนักเขียน คือตอนแรกคิดแค่ว่าขอให้ได้เขียน แต่ปรากฏว่าฟีดแบ็กที่ได้รับกลับมาจากเพื่อนๆ มันดีมาก เพื่อนในกลุ่มอ่านแล้วชอบ เริ่มมีคนขอให้เขียนแบบนั้นแบบนี้ให้ ตรงนี้เองที่ทำให้เกิดความเชื่อมั่น ก็เริ่มเขียนกลอนส่งไปลงตามคอลัมน์ในหน้านิตยสาร ที่ส่งเป็นประจำก็คือ คอลัมน์ระเบียงฝัน (ที่เมื่อก่อนมีอยู่ในนิตยสารเดอะบอย) ที่พี่ชายชามาดา เป็นคนดูแลอยู่

แล้วที่มาที่ไปของนามปากกา “ต้นน้ำ” ล่ะคะ?
สั้นๆ ง่ายๆ เลยนะคะ คือบ้านที่อยู่ตอนเด็กๆ อยู่ติดน้ำตกค่ะ ในช่วงที่คิดจะตั้งนามปากกาเป็นเรื่องเป็นราว ก็ตั้งไว้เป็นตัวเลือกหลายชื่อมาก แต่ในที่สุดก็เลือก “ต้นน้ำ” เพราะมันเกี่ยวข้องกับความเป็นตัวเราดี จากนั้นก็ใช้ชื่อนี้มาเรื่อยๆ แต่ก็จะมีงานประเภทที่เขียนแบบผู้ใหญ่ๆ หน่อย ก็จะใช้ชื่อจริง “นนทยา” เป็นนามปากกาค่ะ

ตอนนี้เรียกได้ว่ายึดการเขียนหนังสือเป็นอาชีพแล้วใช่มั้ยคะ?
ใช่ค่ะ ยึดเป็นอาชีพ (ยิ้มอย่างภูมิใจ) ไม่ใช่ทำอย่างอื่นไม่เป็นแล้วนะคะ แต่ถึงจะมีอะไรอย่างอื่นให้ทำ ก็ยังจะเลือกเขียนหนังสือเป็นอาชีพอยู่ดี

ระหว่างเขียนกลอนกับเขียนนิยาย พี่ต้นน้ำคิดว่าอะไรคือสิ่งที่ตัวเองชอบมากกว่ากัน
ถ้าเทียบค่าตอบแทนกัน เขียนนิยายได้เงินมากกว่า แต่เราก็ชอบที่จะเขียนกลอนกับนิยายอย่างเท่าๆ กัน คือเราโตมากับการเขียนกลอน ซึ่งแม้หลายๆ คนจะมองว่ามันเป็นกลอนรักหวานแหวว หรือที่เรียกกันเฉพาะกลุ่มว่า “กลอนฟันผุ” แต่เราว่าการที่เราเขียนกลอนเป็นนี่เอง ที่ทำให้เราได้ฝึกการคิด ได้หัดสังเกตความรู้สึก ทำให้เราคุ้นเคยกับการมองเห็นในสิ่งเล็กๆ สำคัญที่สุดคือการเขียนกลอนมันทำให้เราได้ในเรื่องของภาษาสวยๆ ได้รู้จักการใช้คำสัมผัสที่มีจังหวะเพราะๆ ดังนั้นในนิยายทุกเรื่องที่เป็นงานของเรา จึงมักจะมีจังหวะที่คล้ายๆ การเขียนกลอน ไม่ใช่การพยายามจะใส่วรรคหวานๆ เข้าไปนะคะ แต่มันฝังอยู่ในเส้นเลือดไปแล้ว คือถ้าจะให้เขียนนิยาย โดยไม่มีประโยคเพ้อฝัน เราคงขาดใจตายแน่ๆ

นอกจากงานเขียนกลอนกับนิยายแล้ว ยังมีงานเขียนประเภทไหนอีกรึเปล่าที่อยากจะเขียน? ตั้งใจจะเขียนบทความน่ะค่ะ แนวงานอ่านง่ายๆ สบายๆ มองโลกในแง่บวก แล้วก็แทรกความคิด (มาก) ของตัวเองเอาไว้นิดหน่อย

แล้วได้เริ่มลงมือไปบ้างรึยังคะ?
ก็เริ่มๆ ทำไปบ้างแล้วล่ะ

มีต้นแบบในการทำงานบ้างมั้ยคะ?
เราเป็นประเภท ‘ครูพักลักจำ’ มาโดยตลอดนะ ด้วยความที่ไม่ได้เรียนนิเทศฯ ไม่ได้เรียนอักษรฯ ฉะนั้นถ้าพูดถึงวิชาเขียนหนังสือ เราแทบไม่มีอะไรติดตัวเลย นอกจากความมุ่งมั่นและก็ความฝัน ดังนั้นพอเราใกล้ใคร เราจะฝักใฝ่หาความรู้มาก ถ้าสงสัยก็จะถาม ทุกคนที่มีโอกาสได้เคยทำงานด้วย เราจึงถือว่าทุกคนเป็นครู โดยเฉพาะกับพี่ๆ ที่เป็นบรรณาธิการให้กับเรา ขอตอบแบบเรียงลำดับตั้งแต่ บก. คนแรกที่เคยทำงานด้วยกันเลยนะคะ ก็มี พี่จี๊ด-เงาตะวัน, พี่ชายชามาดา, บก.แจมจัง, พี่เบอร์รี่, พี่บั๋ง, พี่ต้องตา เราว่าทุกๆ คนมีความจริงจังมุ่งมั่นในการทำงาน พวกเขาไม่ได้มองว่าการทำงานหนังสือเป็นงานอดิเรก แต่มองว่ามันเป็นชีวิต

มีนักเขียนในดวงใจอยู่บ้างรึเปล่า?
ส่วนนักเขียนในดวงใจ อืม...จะเปลี่ยนไปเรื่อยๆ ตามวัยมากกว่า แล้วแต่ว่าวัยนั้นกำลังบ้าอ่านงานประเภทไหน ของนักเขียนคนไหนอยู่ แต่ถ้าถามถึงนักเขียนนิยายที่เราไม่เคยพลาดที่จะอ่านงานของเขาเลย ก็คือ นิโคลัส สปาร์ก ไม่ว่าจะเป็น the notebook, a walk to remember, message in the bottle ฯลฯ ตัวหนังสือของผู้ชายคนนี้ ทำให้หัวใจเราหวั่นไหวได้เสมอ เราอ่าน the notebook (ปาฏิหาริย์บันทึกรัก) สองรอบในปีเดียวกัน ต้นปีกับปลายปี เชื่อไหมว่าเราร้องไห้ในครั้งที่สองมากกว่าครั้งแรก ส่วน message in the bottle นั้น เราอ่านจบบนรถทัวร์ ความรู้สึก ณ นาทีที่อ่านจบก็คือ เราต้องโทรหาใครสักคนแล้วนะ โทรไปเล่าเรื่องดีๆ เศร้าๆ แบบนี้ให้เขาฟัง เหมือนกับต้องแบ่งปันในเรื่องที่อ่านน่ะค่ะ ไม่งั้นจะอยู่ไม่ได้

นับจากวันแรกที่เริ่มต้นเขียนหนังสือนับถึงตอนนี้มีผลงานอะไรมาบ้างแล้ว
หลายเล่มอยู่นะคะ ทั้งหนังสือกลอน ทั้งนิยาย รวมๆ กันแล้วก็น่าจะถึงสิบเล่ม แต่หนังสือกลอนเล่มเก่าๆ นี่คงไม่มีวางตามแผงทั่วไปแล้ว จะมีก็แต่นิยายน่ะค่ะ เปิดทริคมาคลิกรัก, แกล้งรักเธอดันเจอรักจริง ที่กำลังจะออกวางแผงเร็วๆ นี้ ก็คือ “รักสุดเซอร์ กับเธอคนที่หัวใจยอม” ทั้งสามเล่มนี้ พิมพ์กับสำนักพิมพ์เลิฟเบอร์รี่บุ๊ค ส่วนหนังสือกลอนเล่มใหม่ ยังไม่รู้ชื่อค่ะ แต่จะออกภายในปีนี้แน่ๆ กับสำนักพิมพ์ริมทะเล (เครืออักขระบันเทิง) เป็นบทกลอนความรักอุ่นๆ หวานๆ ทั้งหมด และกว่าเก้าสิบเปอร์เซ็นต์ของบทกลอนเล่มนี้ ก็ยังไม่เคยตีพิมพ์ที่ไหนมาก่อน หมายความว่า! เป็นกลอนที่เขียนขึ้นใหม่ทั้งหมดค่ะ ไม่น่าเชื่อเลยใช่ไหม ที่อายุขนาดนี้แล้ว (ยังไม่แก่น่า) จะมีแรงเขียนกลอนรักเป็นเล่มๆ ได้อยู่อีก


ยังจำความรู้สึกช่วงแรกๆ ที่เห็นหนังสือที่ตัวเองเขียนได้รึเปล่า? เป็นยังไงบ้าง
มือสั่น ใจสั่น มากกว่าดีใจ มากกว่ามีความสุข กับเด็กคนหนึ่งที่มีความฝัน จากนั้นก็ลงมือทำมันอย่างไม่รู้จักคำว่าเหนื่อย คำว่าท้อ แล้วพอวันหนึ่งความฝันนั้นก็เป็นจริง ไม่รู้จะอธิบายยังไงน่ะค่ะ แต่บอกได้เลยว่ามันมีความหมายกับชีวิตมาก และความรู้สึกตอนที่ได้จับหนังสือเล่มแรกของตัวเอง ก็ไม่เคยหายไปเลย กับประโยคที่ได้ยินบ่อยๆ “ความพยายามอยู่ที่ไหน ความสำเร็จอยู่ที่นั่น” นี่มันไม่ใช่ประโยคหลอกเด็กนะคะ เป็นประโยคที่จริงมาก จริงที่สุด

มีหนังสือเล่มไหนที่ประทับใจแบบสุดๆ รักแบบสุดๆ บ้างรึเปล่าคะ?
ไม่กล้าบอกว่ารักกลอนบทนั้นมากกว่าบทนี้ หรือประทับใจ ‘เปิดทริคมาคลิกรัก’ มากกว่า ‘แกล้งรักเธอ ดันเจอรักจริง’ เพราะเดี๋ยวเรื่องที่โดนรักน้อยกว่า มันจะน้อยใจ (ยิ้มกว้าง)
กลอนทุกๆ บททั้งที่เขียนรวมเล่ม และเขียนลงในคอลัมน์ดรีมรูม รวมถึงนิยายทุกๆ เล่ม เราทำด้วยความรัก ความใส่ใจตั้งใจอย่างมากเท่าๆ กันทั้งหมด ก่อนที่ส่งต้นฉบับในแต่ละครั้ง จะทวนแล้วทวนอีก จะไม่เผา ไม่วาง ‘ค่าต้นฉบับ’ เป็นเป้าหมาย ไม่ใช่ไม่ต้องการเงินจากการทำงานนะคะ ต้องการค่ะ แต่ที่เราย้ำกับตัวเอง คือเราจะไม่ตั้งเงินไว้เป็นเส้นชัย แล้วก็ทำทุกอย่างเพื่อจะได้เงินมา เพราะถ้าเป็นอย่างนั้น มันก็จะหมายความว่าเราจะเขียนๆ อะไรออกไปก็ได้ ขอแค่ได้เงินมาก็พอ
ช่วงหนึ่งสั้นๆ ที่เราเคยได้เป็นคนดูแลต้นฉบับให้กับน้องๆ นักเขียนหน้าใหม่ เราเจอคำถามที่ว่า “พี่คะ หนูจะได้ค่าต้นฉบับเท่าไหร่คะ”, “พอหนังสือออก จะได้เงินเลยหรือเปล่าคะ รอนานไหมคะ” ทำนองนี้ค่อนข้างบ่อย เราไม่ได้บอกว่านี่คือสิ่งที่นักเขียนไม่ควรรู้ ไม่ควรถาม นักเขียนควรรู้ และควรถามค่ะ แต่ว่าน่าจะเป็นหลังจากที่ทำงานเก่งแล้ว มีหนังสือที่พร้อมจะออกแล้ว คือเราอยากให้น้องๆ ที่คิดจะเขียนหนังสือเป็นอาชีพ รู้จักให้ความสำคัญกับการทำงานก่อน อย่าเพิ่งไปสนใจหรือพยายามต่อรองเรียกร้องเรื่องเงิน
เราเชื่อของเราอย่างนี้นะ ถ้างานดี...แล้วเดี๋ยวเงินมันจะมาเอง ถ้าเราทำงานมีคุณภาพ งานของเราก็จะไม่ใช่แค่แฟชั่น ที่พัดผ่านเข้ามาในวงการ ออกหนังสือสองสามเล่ม แล้วก็เงียบหายไป

พี่ต้นน้ำได้รับแรงบันดาลใจมากจากไหนตั้งเยอะแยะคะ? ในการเขียนงานแต่ละชิ้น
แรงบันดาลใจมีอยู่รอบๆ ตัวค่ะ จากท้องฟ้า จากผู้คนที่เดินสวนกัน จากหนังสือดีๆ จากหนังดีๆ จากเพลงเพราะๆ รวมไปถึงจากจดหมายของน้องๆ ที่เป็นแฟนคลับคอลัมน์ แต่ที่มีอิทธิพลมากที่สุด ก็คือแรงบันดาลใจจากความรัก จากคนรัก (ยิ้ม)

คิดว่าตัวเองเป็นคนโรแมนติกมั้ยคะ? เพราะเห็นงานส่วนใหญ่ของต้นน้ำจะเกี่ยวข้องกับความรัก
ต้องถามก่อนค่ะว่า “ความโรแมนติก” ในที่นี้หมายถึงอะไร ถ้าหมายถึงการชอบทำอะไรเพื่อให้คนที่เรารักรู้สึกดีๆ ละก็ ใช่ค่ะ เป็นคนโรแมนติกมากๆ ช่างจดช่างจำในวันสำคัญต่างๆ แล้วก็สรรหาของขวัญมาให้เขาประทับใจ แต่ถ้าหมายถึงการพูดคะขา เอาอกเอาใจสารพัด และวันๆ ก็เฝ้าพูดถึงแต่เรื่องรักละก็ ไม่เลย ไม่ได้เป็นคนแบบนั้นเลยจริงๆ

กำลังจะมีผลงานอะไรให้แฟนคลับได้ติดตามกันบ้างคะ?
ยังมีคอลัมน์ Dreamroom ในนิตยสารไอไลค์ (หน้า 103-105) ให้ได้อ่านกันอยู่ทุกฉบับนะคะ และเร็วๆ นี้ จะมีนิยายเรื่อง ‘รักสุดเซอร์ กับเธอที่หัวใจยอม’ ออกมาเป็นพ็อคเก็ตบุ๊ค ส่วนนิยายเล่มใหม่แกะกล่อง เขียนไปได้แปดสิบเปอร์เซ็นต์แล้ว อดใจรอนิดนึง นอกจากนี้ยังจะมีหนังสือกลอนกับสำนักพิมพ์ริมทะเล เล่มที่บอกว่ายังไม่ได้สรุปชื่อหนังสือน่ะค่ะ ยังไงก็ฝากให้ช่วยติดตามชื่อของ “ต้นน้ำ” ด้วยนะคะ ชอบไม่ชอบยังไง ก็เขียนมาบอกกันได้

อยากให้ฝากถึงน้องๆ ที่อยากเขียนหนังสือแบบพี่ต้นน้ำบ้าง แต่ว่ายังไม่รู้จะเริ่มต้นยังไงดีน่ะค่ะ
พื้นฐานการเขียน เราว่ามันอยู่ที่การอ่าน อาจจะไม่ใช่ร้อยเปอร์เซ็นต์ เพราะบางคนอาจบอกว่า “ฉันไม่เห็นต้องอ่านหนังสือเยอะเลย ก็สามารถเขียนหนังสือออกมาเป็นเล่มๆ ได้แล้ว” แต่ถ้าเป็นอย่างนี้ ก็เหมือนกับเราเขียนหนังสือเพื่ออยากให้คนอื่นซื้อของเราไปอ่าน ในขณะที่เราไม่ได้อ่านหนังสือของคนอื่นเลย เป็นนักวิ่ง แต่ไม่ขยันซ้อมวิ่ง มันก็ยังไงๆ อยู่ใช่ไหมคะ
ฉะนั้นถ้าอยากจะเป็นนักเขียน ก็ต้องขยันอ่านให้มากๆ ก่อน ไม่ใช่อ่านเพื่อเอามาลอกนะ แต่อ่านเพื่อให้ได้รู้จักการใช้คำ การเรียงประโยค การวางชั้นเชิงเนื้อเรื่อง แล้วเมื่อลงมือเขียนจริงๆ แค่ความตั้งใจอย่างเดียวคงไม่พอ ต้องมุ่งมั่นด้วย บางครั้งอาจเกิดปัญหาระหว่างการเขียน เช่น คิดไม่ออก ดำเนินเรื่องต่อไม่ได้ ก็ต้องพยายามให้มากขึ้นไปอีก “ความพยายามอยู่ที่ไหน ความสำเร็จอยู่ที่นั่น” ไงคะ และถึงแม้ว่าวันหนึ่งเราจะไม่ได้ทำอาชีพนักเขียน แต่ “การอ่าน” ที่เราเคยสะสมมา มันก็จะมีแต่ให้ประโยชน์ ทั้งช่วยในเรื่องวิธีคิด และเรื่องจินตนาการ
สุดท้ายที่อยากฝาก หลังจากที่นอกเรื่องมาเยอะ (หัวเราะ) คือฝากให้ทุกๆ คนมีความสุขกับทุกสิ่งที่ตัวเองเลือกทำค่ะ แล้วท้องฟ้าจะปกป้องเรา...

ข้อคิดที่พี่ต้นน้ำฝากไว้ให้ไม่ได้เป็นแค่ตัวหนังสือที่ประดิดประดอยสวยๆเท่านั้นนะคะ แต่ว่ามันคือต้นทางของความสำเร็จ และเป็นต้นทางของสิ่งดีๆมากมายที่จะทำให้เรามีความสุขกับสิ่งที่ได้ลงมือทำ เหมือนกับที่ทุกวันนี้หัวใจของเรามีความสุขที่ได้อ่านตัวหนังสือจากสองมือของพี่ต้นน้ำยังไงล่ะคะ

--------------------------------
" All Copyright©Nanthanatcha "

วัน(ไม่)ว่าง

วันนี้ตื่นเช้ากว่าทุกวัน...เกือบๆสิบเอ็กโมง
คลุกข้าวให้"โต๋เต๋ กะ ต้องตา" แล้วไปอาบน้ำ
ออกไปไปรษณีย์ ไปส่งหนังสือให้เพื่อนโอ๋ให้พี่เชอร์
ไปร้านเช่าหนังสือ
บ่าย...ฝนตก
เปลี่ยนทรายในกะบะอุนจิให้แมวเหมียว
อ่านหนังสือ
ยังคง...อ่านหนังสือ
จัดตู้หนังสือใหม่
เปลี่ยนผ้าปูที่นอน
พยายามทำกับข้าว...มื้อเย็นของครอบครัว
เช็คเมล์
ยัง...เขียนหนังสือไม่ได้...อยู่ดี


เป็นอีกวันที่ว้าวุ่น
เป็นอีกวันที่ยังคิดถึงอ้อมกอดอุ่นๆของใครบางคน
เป็นอีกวันที่อยากโทรไปหา เพื่อที่จะบอกว่า "ฉันสบายดี"
ทั้งๆที่หัวใจไม่ได้เป็นแบบนั้น
ตอนนี้เราไม่ได้รักกันแล้ว...แล้วฉันยังมีสิทธิ์ที่จะคิดถึง"เธอ"รึเปล่า?
แค่..คิดถึง...เท่านั้นเอง
--------------------------------
" All Copyright©Nanthanatcha "

วันจันทร์, กรกฎาคม 02, 2550

First love…ลุ้นรัก(ครั้งแรก)รีเทิร์น

“First love…ลุ้นรัก(ครั้งแรก)รีเทิร์น”

“...หยุดนะ ยัยหางเปีย หยุดเดี๋ยวนี้...ฉันสั่งให้หยุดไงล่ะ ยัยหางเปีย หยุดเดี๋ยวนี้นะ...”
ถึงแม้ว่าผมเปียทั้งสองข้างที่ผูกริบบิ้นสีชมพูสดใสบนหัวของเรียวกะจะเป็นเครื่องมือที่ช่วยประจานว่า เธอคือคนที่เด็กผู้ชายหน้าตาดีซึ่งอยู่ในยูนิฟอร์มของโรงเรียนนานาชาติชื่อดังกำลังวิ่งตามไล่ล่าอยู่ แต่เรียวกะก็ยังคงตั้งหน้าตั้งตาวิ่งต่อไปอย่างไม่คิดชีวิต อีกไม่กี่อึดใจก็จะถึงโรงเรียนมัธยมหญิงล้วนอูเอดะที่เรียวกะเรียนอยู่แล้ว เรียวกะจึงเลือกที่จะกลั้นใจวิ่งหนีเขาต่อไป โดยไม่สนใจว่าตัวเองกับเด็กผู้ชายคนนั้นจะสร้างความปั่นป่วนให้กับผู้คนที่พบเห็นมากแค่ไหน
ออดดดด ออดดดด ออดดดด...
พอเสียงออดบอกเวลาเข้าเรียนเงียบสนิทลงแล้ว เรียวกะก็หันไปสบตาและยิ้มหวานให้กับคุณลุงยามที่กำลังยืนเกาะประตูรั้วทำท่าตกใจจนตาค้างอยู่
“แฮ่ก... แฮ่ก แฮ่ก...กกก โอ๊ย เหนื่อยชะมัดยาดเลย แฮ่ก...กก...”
“วันนี้หนูเรียวกะมาโรงเรียนทันด้วย จริงๆเหรอเนี่ย? เอ...หรือว่านาฬิกาที่โรงเรียนจะเสีย สงสัยลุงจะต้องโทรเรียกช่างมาเช็คดูซะหน่อยแล้วล่ะ”
จะไม่ให้คุณลุงยามแปลกใจที่เห็นเรียวกะผ่านเข้าประตูโรงเรียนมาได้ก่อนที่เสียงออดบอกเวลาเข้าเรียนจะสิ้นสุดลงได้ยังไงกันล่ะ ก็ในเมื่อเรียวกะน่ะ...เป็นเป็นนักมาโรงเรียนสายมือหนึ่งของโรงเรียนมัธยมอูเอดะเชียวนะ
“แฮ่ก...คุณลุงอย่าบอกใครนะคะ จุ๊ๆๆ จริงๆแล้วหนูวิ่งหนีพวกโรคจิตมาตั้งแต่ตอนที่ลงจากสถานีรถไฟฟ้าอะค่ะ ก็เลยทำให้วันนี้หนูมาโรงเรียนทัน ฮี่ๆๆ...”
เรียวกะสารภาพความจริงพลางบุ้ยปากไปทางประตูรั้วซึ่งตอนนี้มีนักเรียนชายหน้าตาดีจากต่างโรงเรียนกำลังยืนเกาะรั้วมองมาทางที่เรียวกะยืนอยู่ตาละห้อย ปากของเขาก็ยังคงตะโกนคำว่ายัยหางเปียไม่ยอมหยุดซะที
“นั่นมันยูนิฟอร์มของโรงเรียนนานาชาติไม่ใช่เหรอ? เค้าเป็นเพื่อนของหนูเรียวกะรึเปล่า?”
เรียวกะรีบสั่นหน้าแรงๆจนผมเปียของเธอแกว่งไปมาเพื่อปฏิเสธ เธอไม่มีวันยอมรับคนโรคจิตที่วิ่งไล่ตามผู้หญิงแบบหน้าด้านๆอย่างนายคนนี้เป็นเพื่อนเด็ดขาด
“หนูขึ้นไปเรียนก่อนนะคะคุณลุง ส่วนนายนั่นน่ะ...ถ้าเค้ายังไม่ยอมไปง่ายๆ เดี๋ยวอาจารย์ฝ่ายปกครองก็มาจัดการเค้าเองแหละค่ะ”
ก่อนที่จะเดินถือกระเป๋านักเรียนจากไป เรียวกะไม่ลืมที่จะหันไปแลบลิ้นปลิ้นตายิ้มเยาะนักเรียนชายคนนั้นที่ไม่สามารถตามเธอเข้ามาในโรงเรียนได้ ก่อนจะเดินส่ายก้นจากไปด้วยความสะใจ

ที่ห้องเรียนเอ ชั้นปีที่สอง โรงเรียนนานาชาติแบลเบอร์รี่
“...วิชาทำอาหาร วิชาชงชา วิชาวัฒนธรรมญี่ปุ่น ฉันเพิ่งรู้นะเนี่ยว่าโรงเรียนมัธยมทั่วไปเค้าเรียนกันแต่วิชาเบๆแบบนี้น่ะ น่าเบื่อ...แล้วก็เห่ยจะตายชัก เฮ้อ...เพราะยัยหางเปียนั่นแท้ๆเชียวที่ทำให้ชีวิตฉันเฮงซวยได้ขนาดนี้ คอยดูนะ...เจอตัวอีกทีนึงล่ะก็ ฉันจะเอาคืนให้สาสมเลย”
ในขณะที่อาจารย์ชาวอังกฤษกำลังทำการสอนวิชาคณิตศาสตร์อยู่หน้าชั้นเรียน ชุนสุเกะก็ง่วนอยู่กับการรื้อค้นเอาของที่อยู่ในกระเป๋านักเรียนสีดำในมือของตัวเองออกมาดู และวิพากษ์วิจารณ์อย่างคับแค้นใจ เพราะกระเป๋านักเรียนใบนี้ไม่ใช่ของเขา แต่มันเป็นของยัยเด็กผู้หญิงหางเปียที่นั่งหลับอยู่ข้างๆเขาบนรถไฟฟ้าเมื่อเช้านี้ พอยัยนั่นสะดุ้งตื่นขึ้นมาได้ก็รีบลนลานลงจากรถไฟฟ้าเพราะว่ารถไฟฟ้ากำลังจะออกจากสถานีที่เธอต้องลงพอดี ก็เลยทำให้ยัยนั่นหลับหูหลับตาคว้าเอากระเป๋านักเรียนของเขาที่บังเอิญตกลงไปอยู่ที่พื้นพร้อมๆกันกับของยัยนั่น แล้วก็ออกวิ่งอย่างตาลีตาเหลือกโดยไม่ได่สนใจอะไรทั้งสิ้น มันก็เลยทำให้เขาต้องมานั่งทำหน้าเซ็งสุดขีดอยู่ในตอนนี้ ...ยิ่งคิด...ชุนสุเกะก็ยิ่งแค้น
“อาจารย์มองนายหลายรอบแล้วนะชุนสุเกะ เดือนนี้นายทำให้ฉันพลอยโดนทำโทษไปด้วยตั้งเจ็ดครั้งแล้วนะ อยู่เฉยๆน่ะ...เป็นรึเปล่า? แล้วอีกอย่างนึงนะ ฉันเตือนนายหลายร้อยรอบแล้วด้วยว่า...อย่านั่งหลับบนรถไฟฟ้า เพราะว่ามันจะทำให้ดูไม่หล่อ”
เท็ปเปก้มตัวลงจนเกือบจะแนบกับโต๊ะเรียน ตอนที่กระซิบกระซาบข่มขู่ชุนสุเกะ ซึ่งจริงๆแล้วเท็ปเปไม่ได้กำลังตั้งใจเรียนหรอก แต่เขากำลังแอบอ่านหนังสือการ์ตูนเล่มใหม่ที่เพิ่งซื้อมาอยู่และไม่อยากให้ชุนสุเกะเป็นสาเหตุที่ทำให้เขาถูกจับได้ต่างหากล่ะ
“ก็มันโมโหนี่นา...ที่ฉันมาโรงเรียนสายวันนี้ก็เพราะวิ่งตามยัยหางเปียนั่นไป ชิ...คงจะคิดเข้าข้างตัวเองว่าฉันวิ่งตามไปเพื่อขอเบอร์ล่ะมั้ง ถึงได้หันมาแลบลิ้นเยาะเย้ยฉันแบบนั้นน่ะ เอ...อันนี้มันอะไรเนี่ย? ใบสมัครประกวดร้องเพลงนี่นา กำหนดส่งวันนี้เป็นวันสุดท้ายซะด้วยสิ แบบนี้ยัยหางเปียนั่นก็อดเข้าประกวดน่ะสิ ชิ...สมน้ำหน้า”
สิ่งที่เท็ปเปพูดออกไปเมื่อกี๊นี้ไม่ได้เข้ารูหูของชุนสุเกะเลยสักนิด เขายังคงตั้งหน้าตั้งตารื้อข้าวของในกระเป๋านักเรียนใบนั้นออกมาวางเกลื่อนกลาด และทำหน้าสะใจเมื่อค้นเจอใบสมัครเข้าประกวดร้องเพลง ซึ่งมีตัวหนังสือขนาดใหญ่ระบุวันสุดท้ายของการส่งใบสมัครว่าเป็นวันเดียวกันกับวันนี้ซะด้วยสิ
“ฉันว่านายรีบเอากระเป๋าไปคืนให้เค้า หรือไม่ก็...ช่วยส่งใบสมัครให้เค้าหน่อยดีกว่านะ ดูสิกรอกรายละเอียดซะเรียบร้อยแล้วด้วย ถ้าไม่ได้ส่งมันก็น่าเสียดายโอกาสอยู่นะ”
เท็ปเปหยิบใบสมัครที่ชุนสุเกะวางทิ้งลงบนโต๊ะอย่างไม่ไยดีขึ้นมาดู ใบสมัครนั้นถูกกรอกรายละเอียดไว้เรียบร้อยแล้วด้วยลายมือบรรจงอย่างตั้งอกตั้งใจ แต่ชุนสุเกะไม่ได้มีท่าทางว่าจะแคร์มันสักนิด
“เมื่อเช้านี้ที่ฉันวิ่งตามยัยนั่นไปน่ะ ก็เพื่อเอากระเป๋าใบนี้ไปคืนมาแล้วรอบนึงนะเท็ปเป ยัยนั่นหลงตัวเองวิ่งหนีฉันแบบไม่คิดชีวิตเองต่างหาก ทำแบบนี้น่ะมันน่าช่วยเหลือตรงไหนกันล่ะหา... แล้วที่สำคัญอะนะ...วันนี้ฉันเอาของที่นายชอบมาด้วยนะเท็ปเป แต่ป่านนี้ยัยนั่นคงจะเอาไปทิ้งถังขยะด้วยความรังเกียจแล้วล่ะมั้งงงง”
ชุนสุเกะรู้อยู่แล้วว่า...คำว่า “ของที่นายชอบ” จะทำให้เท็ปเปตื่นเต้นตาโต เขาจึงทำหน้าตาเฉยเมย และน้ำเสียงกวนประสาทตอนที่พูดถึงมัน
“จริงๆนะเหรอชุนสุเกะ? นายเอาของที่ฉันชอบมาด้วยจริงๆน่ะเหรอ? งั้น...แบบนี้เราก็ยิ่งต้องรีบแอบปีนรั้ว แล้วบุกไปโรงเรียนของยัยนั่นกันอีกรอบเดี๋ยวนี้เลยดีกว่า นะนะ...ไปนะ...ไปกันนะชุนสุเกะ นะนะ...”
ปัง ปัง ปัง...
“Stop!!!”
อาจารย์มองลอดแว่นมายังเท็ปเปและชุนสุเกะตอนที่กำลังใช้แปรงลบกระดานเคาะกับโต๊ะแรงๆ เป็นการเตือนว่า...ถ้าหากเท็ปเปกับชุนสุเกะยังไม่ยอมหยุดพูด แปรงลบกระดานอันนั้นมันจะย้ายมาเคาะที่หัวของเขาแทน แล้วในที่สุดเท็ปเปก็ต้องหยุดอ้อนวอนชุนสุเกะ และนั่งเรียนวิชาคณิตศาสตร์อย่างสงบเสงี่ยม เพราะหนังสือการ์ตูนเล่มใหม่ที่เพิ่งอ่านไปได้แค่ไม่กี่หน้าของเขาถูกอาจารย์หน้าโหดริบไปแล้วน่ะสิ


หลังเลิกเรียน ที่โรงเรียนมัธยมอูเอดะ
เรียวกะกับเพื่อนยังนั่งจับกลุ่มเม้าท์ถึงสิ่งของที่อยู่ในกระเป๋านักเรียนซึ่งเรียวกะหยิบผิดมาอย่างสนุกปาก เพราะในกระเป๋าไม่มีอะไรซักอย่างที่เกี่ยวกับการเรียน
“ดูดิ ท่าทางจะเป็นคนลามกมากๆด้วยนะ มีแมกกาซีนแฟชั่นชุดว่ายน้ำตั้งหลายเล่ม แล้วอันนี้...แมกกาซีนฟุตบอล ส่วนนี่ก็...การ์ตูนโคนัน ที่โรงเรียนอื่นเค้ามีสอนวิชาพวกนี้ด้วยเหรอเนี่ย? เฮงซวยชะมัด”
“แล้วเธอจะทำยังไงต่อล่ะเรียวกะ? เอาไปแลกคืนที่โรงเรียนเค้าเหรอ? อุ๊ย...ฉันทำให้หน่มหน้มของนางแบบสุดเซ็กซี่ต้องแปดเปื้อนซะแล้วล่ะ เจ้าของเค้าจะโกรธฉันมั้ยอะ?”
มิซาโนะเผลอยื่นหน้าเข้าไปใกล้หนังสือ ในขณะที่กำลังตักไอศกรีมช็อกโกแลตเข้าปาก ก็เลยทำให้ไอศกรีมที่ย้อยออกจากปากของเธอหยดแหมะลงที่ท่อนบนของชุดทูพีชลายดอกไม้สีสดใสที่นางแบบลูกครึ่งท่าทางเปรี้ยวจี๊ดกำลังยืนโพสท่าเฉิดฉายอยู่ในแมกกาซีนเข้าพอดี
“ช่างปะไร...ไม่ต้องใส่ใจทะนุถนอมของแบบนี้หรอก แล้วมันเรื่องอะไรที่ฉันจะต้องเอาไปคืนเองให้เมื่อยด้วยล่ะยัยมิซาโนะ ถึงฉันจะไม่ค่อยสวยเท่าไหร่แต่ฉันก็เลือกได้เหมือนกันนะยะ ฉันว่า...กระเป๋าใบนี้ต้องเป็นของไอ้หน้าหล่อที่วิ่งตามฉันมาเมื่อเช้านี้แน่ๆ เดี๋ยวเค้าก็มาเอาคืนเองแหละ เมื่อเช้ามายืนเกาะรั้วตาละห้อยแล้วนี่นา จริงปะ...”
“อืม...งั้นเองน่ะเหรอ? ว่าแต่ว่าวันนี้เป็นวันสุดท้ายของการส่งใบสมัครประกวดร้องเพลงแล้วนี่นา เธอส่งใบสมัครของเธอไปหรือยังอะเรียวกะ”
เรียวกะส่ายหน้าเนือยๆแทนคำตอบ มิซาโนะทำหน้าเบ้ ไอศกรีมช็อกโกแลตสุดโปรดไม่อร่อยซะแล้วสิ
“หูยยยย แล้วแบบนี้เมื่อไหร่เธอจะมีโอกาสได้เป็นนักร้องอย่างที่เธอใฝ่ฝันซะทีล่ะ ฉันเห็นเธอจดๆจ้องๆจะประกวดมาตั้งสองสามปีแล้วนะ จะกลัวอะไรนักหนาหา...ยัยเรียวกะ”
“ฉัน... ฉัน ฉันกลัวว่าจะทำไม่ได้น่ะสิ เธอดูคนที่ประกวดแต่ละปีสิ มีแต่คนร้องเพลงเก่งๆ แล้วก็สวยๆทั้งนั้นเลยด้วย ฉันน่ะไม่มีอะไรจะไปสู้ไปประกวดกับเค้าได้หรอก บางทีการที่วันนี้ฉันทำกระเป๋านักเรียนสลับกับอีตาลามกคนนั้น อาจจะเป็นลิขิตจากสวรรค์เพื่อบอกฉันเป็นนัยๆให้รู้ตัวว่าไม่ควรสมัครประกวดร้องเพลงก็ได้นะ,มิซาโนะ”
น้ำเสียงของเรียวกะฟังดูเศร้าสร้อยและน่าหดหู่ซะมัด ซึ่งมิซาโนะชาชินกับมันซะแล้วล่ะ เพราะเรียวกะชอบทำท่าทางแบบนี้ทุกทีเวลาที่ไม่กล้าลงมือทำอะไรที่อยากทำ
“เฮ้อ ตามใจเธอก็แล้วกัน จะเชื่อแบบนั้นก็ตามใจ งั้นนนน วันนี้พวกเรากลับบ้านกันดีกว่า เย็นมากแล้วด้วยนะ”
มิซาโนะช่วยเรียวกะรวบรวมข้าวของที่รื้อออกมายัดใส่คืนลงในกระเป๋าใบนั้นอย่างลวกๆ โดยไม่สนใจว่าจะทำให้หนังสือพวกนั้นยับยู่ยี่ซักแค่ไหน ก่อนจะเดินจับกลุ่มคุยกันออกมาจากโรงอาหารเพื่อกลับบ้าน
“นี่...ยัยหางเปีย เอากระเป๋าของฉันคืนมานะ บอกให้เอากระเป๋าของฉันคืนมาเดี๋ยวนี้ยังไงล่ะ ยัยหางเปีย มัวเดินงุ่มง่ามอยู่ได้...เอากระเป๋าของฉันคืนมานะ...”
ทันทีที่เห็นยัยหางเปียริบบิ้นสีชมพูเดินมาแต่ไกล ชุนสุเกะก็แหกปากตะโกนเรียกเสียงดังแบบสุดๆ โดยมีเท็ปเปช่วยตะโกนคำว่ายัยหางเปียซ้ำๆเพื่อเป็นการประจานให้ยัยหางเปียนั่นรู้ตัว และไม่สามารถที่จะทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ได้อีก ...ในขณะเดี๋ยวกันเรียวกะก็อยากจะกระชากผมเปียของตัวเองให้หลุดออกจากหัวซะเดี๋ยวนี้ เพราะในโรงเรียนอูเอดะแห่งนี้ไม่มีคนอื่นอีกแล้วที่มัดผมเปียแบบเดียวกันกับเธอ
“ดูเหมือนสองคนนั้นจะกำลังเรียกเธออยู่นะเรียวกะ”
แต่ตอนนี้เรียวกะอยากที่จะฆ่ามิซาโนะมากกว่าที่ช่วยสองคนนั่นตอกย้ำว่าเธอคือยัยหางเปียที่สองคนนั้นกำลังต้องการตัว
“ฉันรู้แล้วล่ะน่า...ก็ไอ้หน้าหล่อคนซ้ายมือนั่นแหละที่วิ่งตามฉันมาเมื่อเช้านี้น่ะ”
จริงๆแล้วชุนสุเกะกับเท็ปเปหน้าตาและหุ่นดีสูสีกันมาก แต่ว่าชุนสุเกะน่ะผมยาวกว่าเท็ปเปแล้วก็ทำสีผมเป็นสีทองด้วย เรียวกะก็เลยจำได้ทันทีที่เห็น แม้จะอยู่ในระยะที่ยังค่อนข้างไกลกันมากก็ตาม เรียวกะรีบเก๊กหน้าซีเรียสแล้วเดินตรงไปที่ประตูรั้วโรงเรียนที่สองคนนั่นยืนเกาะอยู่
“มัวทำอะไรอยู่หา...ยัยหางเปีย? โรงเรียนเธอเลิกตั้งนานแล้วนี่นา...แล้วทำไมถึงเพิ่งจะเดินออกมา รู้รึเปล่าว่าฉันสองคนยืนรอเธอจนจะกลายเป็นลิงในสวนสัตว์อยู่แล้วนะ คุณลุงยามก็ใจร้ายชะมัด ขอเข้าไปนั่งรอข้างในนิดเดียวก็ไม่ได้”
ยังไม่ทันที่เรียวกะจะเดินไปถึง ชุนสุเกะก็ชิงตะโกนต่อว่าปนบ่นใส่เธออีกชุดใหญ่ ไม่ได้มีท่าทางหวาดกลัวสีหน้าซีเรียสของเรียวกะเลยซักนิด เรียวกะก้มหน้าคุยกับเขาเพราะต้องการที่จะปกปิดว่า...เธอกำลังกัดฟันพูดกับเขาด้วยความคับแค้นใจมากแค่ไหน
“ฉันไม่ได้ชื่อยัยหางเปียอย่างที่นายพยายามยัดเยียดให้ซักหน่อย อะนี่..กระเป๋าของนาย แล้วไหนล่ะกระเป๋านักเรียนของฉันน่ะ? แล้วฉันก็หวังว่านายคงจะไม่เสียมารยาทรื้อเอาของของฉันออกมาดูหรอกนะ”
เรียวกะส่งกระเป๋านักเรียนคืนให้เขา แล้วรีบเปิดกระเป๋านักเรียนของตัวเองออกมาสำรวจดูความเรียบร้อย ของทุกอย่างของเธอยังอยู่ในสภาพดีตามปรกติ แต่...
“เดี๋ยวก่อน...ยัยหางเปีย เธอทำอะไรกับหนังสือการ์ตูนของฉัน”
ชุนสุเกะโวยวายเสียงดังมากกว่าเดิม และดึงแขนของเรียวกะเอาไว้อย่างแรงด้วยความโกรธ ทำให้เรียวกะเซไปซบอยู่กับอกของเขา เรียวกะเงยหน้าขึ้นจ้องหน้ากับเขาเพื่อที่จะเอาเรื่องเช่นกัน ทำให้ใบหน้าของเรียวกะกับชุนสุเกะอยู่ห่างกันแค่เพียงฝ่ามือเดียวเท่านั้น และพอได้เห็นหน้ากันชัดๆสิ่งที่ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น...
“เฮ้ยยยย เธอ...ยัยเห่ย...ห้องหนึ่ง”
“อี๋...นาย...นายเน่าห้องบ๊วย”
ต่างคนต่างตะโกนชื่อที่เรียกขานซึ่งกันและกันเมื่อสมัยที่เรียนชั้นประถมออกมาเสียงดังด้วยความตกใจ พลังเสียงของทั้งคู่ทำให้ต่อมน้ำตาของเท็ปเปที่กำลังไหลพรากเพราะเสียอกเสียใจอยู่กับแมกกาซีนแฟชั่นชุดว่ายน้ำทูพีชซึ่งเป็นของที่เขาชอบ แต่ตอนนี้มันอยู่ในสภาพยับยู่ยี่ซะยิ่งกว่าขยะในถังรีไซเคิ้ลซะอีก พลอยหยุดชะงักการทำงานไปด้วย
“ชิ...ถ้าหากฉันรู้ว่าเป็นกระเป๋าของนายนะ ฉันจะเอามันทิ้งใส่ถังขยะซะ ไม่หิ้วติดมือให้เมื่อยหรอก”
เรียวกะเป็นฝ่ายรวบรวมสติได้ก่อน เธอรีบดันตัวเองออกจากอ้อมแขนของชุนสุเกะ และทำท่าปัดเสื้อผ้าราวกับว่าร่างกายของชุนสุเกะเป็นสิ่งสกปรก ก่อนจะหันไปดึงมือมิซาโนะซึ่งกำลังยืนหน้ามึนอยู่ให้รีบเดินกลับบ้านด้วยกัน โดยไม่แยแสต่อเสียงตะโกนโหวกเหวกที่ดังตามหลังมา
“ยัยเห่ยเอ๊ย... ถ้าหากฉันรู้ว่าเป็นกระเป๋านักเรียนของเธออะนะ ฉันก็จะไม่ยอมเสียเวลาทำเรื่องงี่เง่าแบบนี้เหมือนกันนั่นแหละ ยัยเห่ยเอ๊ย...”


ที่ห้องสมุด โรงเรียนมัธยมหญิงล้วนอูเอดะ
เรียวกะกับมิซาโนะใช้เวลาช่วงพักกลางวันที่เหลือเข้ามานอนเล่นในห้องสมุด เรียวกะทำเป็นหยิบหนังสือประวัติศาสตร์ยากๆมาวางระเกะระกะเพื่อบังหน้า เพราะต้องการที่จะยึดเอามุมเอกเขนกที่มีฟูกนุ่มๆและหมอนใบใหญ่ๆหลายใบเอาไว้นอนกลิ้งเล่นเป็นการส่วนตัว
“เรียวกะ เธอรู้จักกับผู้ชายหล่อๆคนนั้นด้วยเหรอ? แล้วทำไมเธอต้องทำท่ารังเกียจเค้าด้วยล่ะ?”
มิซาโนะพยายามชวนเรียวกะพูดคุยถึงเรื่องนี้มาตั้งแต่เช้าแล้ว เมื่อเรียวกะเห็นว่า...ถ้าหากเธอยังไม่ยอมเล่าอะไรซักอย่างที่เกี่ยวกับชุนสุเกะให้มิซาโนะฟัง มิซาโนะก็จะต้องตามรบเร้าเธออยู่แบบนี้ไม่ยอมเลิกซะที เรียวกะก็เลยเล่าถึงความน่ารังเกียจของชุนสุเกะที่เธอได้พบเจอมาให้มิซาโนะฟัง เพื่อที่ยัยนี่จะได้เลิกทำท่าปลาบปลื้มความหน้าตาดีของเขาซะที
“สัญญาก่อนนะว่าถ้าหากฉันเล่าให้ฟังแล้วเราจะไม่พูดถึงเรื่องนี้กันอีก ฉันกับเค้าเคยเรียนโรงเรียนประถมมาด้วยกัน แต่ว่าอยู่คนละห้อง ตอนแรกๆอะนะ...ฉันก็ไม่ได้สนใจที่จะรู้จักกับเค้าหรอก แต่ว่ามีอยู่หนนึงที่เค้าช่วยฉันจากกลุ่มเด็กผู้ชายที่เข้ามารีดไถเงินฉัน ตอนนั้นนะตัวเค้าเล็กนิดเดียวเอง แล้วเด็กเกเรพวกนั้นก็มีคนเยอะกว่าด้วย ชุนสุเกะก็เลยโดนรุมซะน่วมเลยล่ะ ฉันก็เลยปลื้มเค้ามาก...”
“ว้าว...โรแมนติกจังเลย” มิซาโนะนึกภาพตามแบบดราม่าสุดๆจนดูเหมือนชุนสุเกะกำลังบุกเดี่ยวอยู่ในสนามรบตอนที่เข้าไปช่วยเรียวกะ มิซาโนะก็เลยอินมาก...จนมีประกายวิ้งๆออกจากดวงตาของเธอเต็มไปหมด
“อย่าเพิ่งขัดได้มั้ย? เรื่องมันไม่ได้สวยหรูอย่างที่เธอกำลังวาดฝันหรอกนะ”
เรียวกะทำลายฝันกลางวันของมิซาโนะซะพังป่นปี้ ก่อนที่จะเริ่มเล่าเรื่องต่อ
“หลังจากนั้นฉันกับเค้าก็เลยเป็นเพื่อนเล่นกัน แต่ว่าเค้าน่ะ...ชอบเรียกฉันว่ายัยเห่ย ฉัน...ก็เลยเรียกเค้าว่านายเน่ากลับไปบ้าง ฉันกับเค้าสนิทกันมากจนเด็กคนอื่นๆล้อว่าเราสองคนเป็นแฟนกัน เค้าน่ะทำเป็นเฉยๆก็เลยไม่รู้ว่าเค้ารู้สึกดีใจเหมือนกับฉันบ้างรึเปล่า แล้ว...พอวันสุดท้ายของพิธีจบการศึกษาฉันก็เลยตัดสินใจขอแลกป้ายชื่อกับเค้า แต่ว่า...ฉันบอกเค้าช้าไป เค้าก็เลยให้ป้ายชื่อกับคนอื่นไปแล้ว ตอนนั้นฉันไม่รู้จะทำยังไงต่อก็เลยวิ่งหนีมาซะดื้อๆ แล้วตั้งแต่วันนั้นเราสองคนก็ไม่ได้เจอกันอีกเลย น่าแปลกนะ...ทั้งๆที่เมืองโตเกียวก็เล็กนิดเดียวเอง แค่อยู่คนละโรงเรียนเท่านั้นก็หากันไม่เจอซะแล้ว”
ไม่ใช่แค่เพียงน้ำเสียงตอนท้ายๆของเรียวกะจะฟังดูเศร้าเท่านั้น แต่ว่า...ความรู้สึกของเรียวกะก็เศร้าตามไปด้วย แล้วมันก็ได้แสดงออกมาทางสีหน้าและแววตาโดยที่เรียวกะไม่รู้สึกตัว
“แต่ตอนนี้ เธอกับเค้าก็หากันเจอแล้วนี่นา กลับไปเป็นเพื่อนกันก็ได้นี่ แค่สองปีที่ไม่ได้เจอกันน่ะ ไม่น่าจะทำให้อะไรมันเปลี่ยนแปลงไปมากนักหรอกนะ”
มิซาโนะพยายามให้กำลังใจเพื่อน เธออยากให้เรียวกะกลับไปคบกับชุนสุเกะอีกครั้ง เผื่อว่า...เธอจะมีโอกาสได้คบกับเพื่อนสนิทของชุนสุเกะที่ชื่อเท็ปเปบ้าง
“ทุกอย่างมันได้เปลี่ยนไปจนหมดแล้วล่ะมิซาโนะ เมื่อก่อนนี้เค้าตัวเล็กนิดเดียวเองนะ ตัวเท่าๆกับฉันเลย แต่ดูตอนนี้สิ...ชุนสุเกะเค้าตัวโตกว่าฉันตั้งเยอะ กระชากฉันนิดเดียวตัวฉันก็ปลิวแล้ว อีกอย่างนึงนะ...ตอนนี้เค้าก็เรียนอยู่โรงเรียนนานาชาติแบลเบอร์รี่ที่แสนจะไฮโซด้วย คงมีสาวๆสวยๆแล้วก็รวยมากๆเป็นเพื่อนกับเค้าเยอะแยะแล้วล่ะ เฮ้อ... ฉันว่า...เราเลิกพูดเรื่องนี้กันได้แล้วล่ะ ขึ้นไปเรียนกันดีกว่า”
เรียวกะเปลี่ยนเรื่องปุบปับแล้วลุกขึ้นเดินเอาหนังสือไปเก็บคืนเข้าที่ ก่อนจะเดินออกไปโดยลืมที่จะดูว่ามิซาโนะเดินตามมาด้วยหรือเปล่า...


“หวัดดียัยหางเปีย หวัดดีมิซาโนะ”
เรียวกะหันไปมองมิซาโนะที่แกล้งทำเป็นยืนหน้ามึนอยู่ข้างๆเมื่อเจอชุนสุเกะกับเท็ปเปมายืนเกาะรั้วโรงเรียนรอหลังเลิกเรียน
“เธอไปสนิทสนมกับสองคนนี่ตั้งแต่เมื่อไหร่หา...ยัยมิซาโนะ”
มิซาโนะทำหน้าซื่อบื้อบอกว่าไม่รู้เรื่อง และไม่ได้สนิทกับเท็ปเปและชุนสุเกะ ทั้งๆที่เท็ปเปแอบขอแลกเบอร์โทรศัพท์กับมิซาโนะตั้งแต่เมื่อวันก่อน และภาพที่เท็ปเปโบกมือทักทายมิซาโนะอย่างสนิทสนมก็ฟ้องเรียวกะอยู่ชัดๆว่าสองคนนี้ได้ทำความรู้จักกันเป็นอย่างดีแล้ว
“เธอรู้อะไรมั้ยมิซาโนะ? เธอเป็นคนที่โกหกไม่เก่งเอาซะเลย เฮ้อ...เธออยากจะไปเที่ยวต่อกับสองคนนี่ก็ตามใจนะ แต่ฉันจะรีบกลับไปทำการบ้าน”
เรียวกะไม่อยากที่จะตกเป็นข่าวให้เพื่อนร่วมโรงเรียนอูเอดะที่มีแต่ผู้หญิงได้เม้าท์กันมากไปกว่านี้ เธอจึงรีบเดินแยกตัวออกจากกลุ่มมา แต่ว่าชุนสุเกะก็วิ่งตามมายืนดักหน้าเอาไว้ พร้อมกับยื่นตุ๊กตาหมีถือรูปหัวใจตัวเล็กๆให้กับเธอ
“รีบรับเอาไว้สิ ฉันอายคนอื่นเป็นเหมือนกันนะ”
แก้มทั้งสองของชุนสุเกะเป็นสีแดงด้วยความเขิน ก็เขาไม่ค่อยชินกับการตกเป็นเป้าสายตาของสาวๆแบบนี้ซักเท่าไหร่นี่นา
“แล้วฉันบอกนายตั้งแต่เมื่อไหร่ว่าอยากได้น่ะ?”
เรียวกะทำหน้าเชิดซะจนน่าหมั่นไส้ แต่นานๆทีจะมีผู้ชายหน้าหล่อมาดเท่เอาของขวัญมาให้ซะที มันก็อดไม่ได้ที่จะเล่นตัว และทำท่าเริ่ดๆเชิดๆซะหน่อย
“ก็...เมื่อก่อนนี้ยังไงล่ะ เวลาที่แวะไปเกมเซ็นเตอร์ทีไรเธอชอบรบเร้าให้ฉันหนีบตุ๊กตาแบบนี้จากเครื่องยูโฟแคชเชอร์มาให้เธอทุกทีเลย เพราะว่าตุ๊กตาแบบนี้น่ะสามารถที่จะอัดเสียงได้ เธอน่ะชอบร้องเพลงแล้วอัดเก็บเอาไว้ฟังคนเดียว ไม่ค่อยยอมแบ่งให้คนอื่นได้ฟังมั่งเลย ฉันยังจำได้นะ แล้วฉันก็ขออวยพรให้เธอชนะด้วย”
“นายเน่า นายพูดแบบนี้หมายความว่ายังไง?”
เรียวกะมีท่าทางตกใจอย่างเห็นได้ชัด เธอไม่ได้เพียงแค่แปลกใจที่ชุนสุเกะยังจดจำเรื่องราวต่างๆของเธอได้ดี แต่ว่าเธอยังคิดระแวงไกลไปถึงเรื่องใบสมัครประกวดร้องเพลงของเธอที่หายไปอย่างไร้ร่องรอยด้วย
“พอดีวันนั้นฉันค้นเจอใบสมัครประกวดร้องเพลงอยู่ในกระเป๋านักเรียนด้วย แล้วก็เห็นว่ามันเป็นวันสุดท้ายของการส่งใบสมัครแล้ว ฉันก็เลยช่วยเอาไปส่งให้น่ะ แต่ว่าตอนนั้นฉันไม่ได้ดูชื่อที่กรอกไว้หรอกนะว่าเป็นของใคร แล้วฉันก็ดีใจมากๆที่มันเป็นของเธอ ฉันเอาใจช่วยเธอแบบสุดๆเลยนะ”
ความทรงจำดีๆตอนนั้น และความรู้สึกดีๆที่เคยมีให้ต่อกันก็ยังฝังแน่นอยู่ในความรู้สึกนึกคิดของเรียวกะ แต่ว่า..ความไม่กล้าหาญก็ได้ทำให้เธอไม่สามารถที่จะยิ้มรับเอาความหวังดีของเขาได้จริงๆ
“นายไม่มีสิทธิ์ที่จะมายัดเยียดนู่นนี่ให้ฉันตามอำเภอใจแบบนี้นะ จำเอาไว้ด้วย”
เรียวกะตบหน้าของชุนสุเกะเต็มแรง และดวงตาคู่สวยของตัวเธอเองก็มีน้ำตาคลออยู่ ทั้งๆที่รู้ว่ามีคนที่คอยเชียร์ให้เธอได้ก้าวเดินตามความฝันอยู่เยอะแยะไปหมด แต่เธอก็ยังรู้สึกอ่อนแอเกินไปที่จะออกเดินตามแรงยุ และที่สำคัญที่สุดก็คือ กลัวว่าเธอจะทำให้คนพวกนี้ต้องผิดหวัง
“เรียวกะ จนป่านนี้เธอก็ยังไม่เลิกที่จะขี้ขลาดอย่างไร้เหตุผลอีกงั้นเหรอ? ไม่ได้เรื่องเอาซะเลย”
เสียงของชุนสุเกะตะโกนตามหลังมาติดๆ ไม่มีทีท่าว่าเขาจะรู้สึกโกรธเรียวกะสักนิด
“ฉันจะเป็นยังไงมันก็เรื่องของฉัน นายไม่ต้องมายุ่ง จำเอาไว้นะนายเน่า”
เรียวกะตะโกนตอบกลับเขาไปเสียงดังทั้งๆที่น้ำตาก็ยังไหลไม่หยุด เพราะตั้งใจที่จะประจานชื่อ”นายเน่า”ของเขา แล้วรีบเดินเร็วๆหนีไป ทำให้สาวๆโรงเรียนอูเอดะที่กำลังเดินผ่านมาต้องพากันเดินก้มหน้า เพื่อไม่ให้ชุนสุเกะเห็นว่าพวกเธอกำลังหัวเราะขำอย่างเปิดเผยจนน่าเกลียดเกินไปนัก
“ฉันไม่ยอมเลิกวุ่นวายกับเธอแน่ๆ จนกว่าเธอจะเลิกขี้ขลาด จำเอาไว้นะยัยเห่ย...”
แต่ไม่ว่าชุนสุเกะจะตะโกนซ้ำซักกี่ครั้งเรียวกะก็ไม่สนใจซักนิด เธอหิ้วกระเป๋านักเรียนทำหน้าเชิดและเดินส่ายก้นจากไปอย่างไม่สนใจไยดี ปล่อยให้ชุนสุเกะซึ่งอยู่ในชุดนักเรียนนานาชาติสุดเท่ต้องยืนหิ้วตุ๊กตาหมี ทำหน้าเซ็งอยู่ตรงนั้นเอง


หลังเลิกเรียน ที่โรงเรียนนานาชาติแบลเบอร์รี่
ชุนสุเกะกับเท็ปเปนั่งเล่นอยู่ที่หน้าตึกวิทยาศาสตร์ ชุนสุเกะกำลังนั่งคิดถึงความสำคัญของการแลกป้ายชื่อในวันจบการศึกษา เขาไม่เคยรู้เลยว่ามันมีความสำคัญมากสำหรับเด็กผู้หญิงที่แอบชอบเด็กผู้ชาย เขาจึงให้ป้ายชื่อของตัวเองไปกับเพื่อนผู้หญิงคนหนึ่งที่เรียนอยู่ห้องเดียวกันโดยไม่ได้ใส่ใจอะไร แต่ตอนที่เขาไปขอป้ายชื่อคืนจากเด็กคนนั้น เพื่อที่จะเอามาแลกกับเรียวกะ ความเจ็บปวดที่เด็กผู้หญิงคนนั้นได้แสดงออกมาก็ทำให้เขาได้รู้ว่ามันมีความสำคัญมาก และเขาก็ได้ทำให้เด็กผู้หญิงสองคนต้องเสียใจมากๆในวันจบการศึกษาชั้นประถม
“วันนี้นายจะไม่ไปที่โรงเรียนอูเอดะด้วยกันจริงๆน่ะเหรอ?”
เท็ปเปยังไม่ยอมล้มเลิกความตั้งใจที่จะชวนชุนสุเกะ ซึ่งชุนสุเกะรู้ว่าจริงๆแล้วเท็ปเปอยากมีเพื่อนไปเล่นปาจิงโกะที่เกมเซ็นเตอร์ด้วยกันมากกว่า เพราะว่ายัยมิซาโนะซึ่งกำลังเริ่มลองคบกับเท็ปเปไม่ชอบเล่นปาจิงโกะน่ะสิ
“ตอนนายจบชั้นประถมมีเด็กผู้หญิงมาขอแลกป้ายชื่อกับนายรึเปล่าเท็ปเป?”
ชุนสุเกะตอบคำถามของเท็ปเปด้วยประโยคคำถามของเขาเอง เท็ปเปทำหน้าเซ็งแล้วเก็บแมกกาซีนชุดว่ายน้ำใส่กระเป๋า คำถามงี่เง่าของชุนสุเกะทำให้เขาหมดอารมณ์ที่จะดูของชอบซะแล้ว
“หล่อๆอย่างฉันจะเหลือเหรอ...แต่ว่าเด็กผู้หญิงที่มาขอแลกป้ายชื่อกับฉันน่ะ ทำให้ฉันแปลกใจมากเลย เราเรียนอยู่ห้องเดียวกันแต่ว่าแทบจะไม่เคยคุยกันเลยด้วยซ้ำ เค้าเป็นเด็กผู้หญิงที่เรียบร้อยมาก...แล้วก็เก็บตัวด้วย ไม่ค่อยมีเพื่อนหรอก ตอนนั้นฉันก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมถึงได้แลกป้ายชื่อกับเด็กผู้หญิงคนนี้ ทั้งๆที่ไม่ได้รู้สึกชอบเค้าซักนิด แต่ว่า...หลังจากวันจบการศึกษาไม่นานนักฉันก็ได้ข่าวจากครูประจำชั้นว่า เด็กผู้หญิงคนนี้ย้ายบ้านไปอยู่ที่ฟูกุโอกะแล้ว น่าเศร้าชะมัดเลย...ถ้าหากฉันรู้ล่วงหน้าว่าจะไม่ได้เจอกันอีกฉันจะพูดประโยคดีๆ แล้วก็ขอแลกเบอร์โทรศัพท์หรือว่าที่อยู่เอาไว้ด้วย”
“นั่นน่ะสินะ...ถ้าหากฉันรู้ว่าคงจะไม่ได้เจอกันอีกฉันเองก็จะขอแลกเบอร์โทรศัพท์กับเธอเอาไว้เหมือนกันแหละ ถึงแม้ว่าตอนนี้ฉันกันเค้าจะได้เจอกันอีกครั้งนึง แต่ดูเหมือนทุกสิ่งทุกอย่างมันจะสายเกินไปซะแล้วล่ะ เค้าคงไม่อยากที่จะเป็นเพื่อนเล่นกับฉันแล้ว”
ชุนสุเกะหน้าเศร้า เมื่อนึกถึงตอนที่ถูกเรียวกะขับไสไล่ส่งเมื่อวันก่อน
“ฉันว่า...เรียวกะน่ะไม่ได้อยากเป็นเพื่อนกับนายมาตั้งแต่แรกแล้วล่ะ ถ้าหากนายอยากจะกลับไปเป็นเพื่อนเล่นกับเค้าอย่างเดิมล่ะก็ ฉันว่าอย่าเลยนะชุนสุเกะ เพราะว่านายจะทำให้เค้าเสียใจอีกรอบนึง”
เท็ปเปเก๊กหน้าหล่อแบบสุดๆในขณะที่พูด ก่อนจะขอตัวไปหามิซาโนะที่โรงเรียนอูเอดะ พอได้นั่งอยู่คนเดียวชุนสุเกะก็ได้มีเวลาทบทวนและตั้งคำถามกับความรู้สึกของตัวเองว่า ...อยากที่จะเป็นเพื่อนกับเรียวกะรึเปล่า? แต่ว่า...สิ่งที่เขาแน่ใจที่สุดในตอนนี้ก็คือ เขาอยากทำให้เรียวกะเลิกวิตกกังวลกับผลที่จะเกิดขึ้นก่อนลงมือทำน่ะสิ เรียวกะไม่เคยมีความเชื่อมั่นในความสามารถที่ตัวเองมีเลยสักครั้งเดียว


ที่หน้าโรงเรียนมัธยมหญิงล้วนอูเอดะ
“เรียวกะ...เรียวกะ มาทางนี้สิ มานี่เร็วๆเข้า”
เรียวกะซึ่งกำลังทำท่าทางลับๆล่อๆอยู่บริเวณใกล้ๆกับประตูโรงเรียนเพื่อหาทางที่จะเข้าไปในโรงเรียนโดยไม่ถูกอาจารย์ทำโทษฐานที่มาสาย หันไปตามเสียงเรียก แล้วเธอก็เห็นชุนสุเกะยืนอยู่อีกมุมหนึ่งของรั้วโรงเรียน เรียวกะเดินไปหาเขาอย่างไม่มีทางเลือก เพราะขืนเธอทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้นายเน่านี่ก็คงจะแหกปากตะโกนเรียกเสียงดัง จนเธอถูกอาจารย์จับได้แล้วมีความผิดเพิ่มขึ้นอีกหลายกรณี
“เธอยังอยากแลกป้ายชื่อกับฉันอยู่อีกรึเปล่า?”
ธุระสำคัญของชุนสุเกะทำให้เรียวกะอยากจะเอาหัวเขกพื้นซักร้อยที
“มาหาฉันแต่เช้าเพราะเรื่องนี้อะนะ สติดีรึเปล่า? ฉันว่า...เอาไว้ตอนเย็นๆนายค่อยแวะมาใหม่ก็แล้วกันนะ”
เรียวกะทำท่าเย็นชาและห่างเหินกับชุนสุเกะแบบสุดๆ เพื่อที่เขาจะได้ไม่กล้าตอแยกับเธออีก แต่ว่าต่อมรับความรู้สึกของชุนสุเกะก็ยังคงตายด้าน
“ไม่ได้หรอก ถ้าหากเธอไม่ยอมตอบคำถามของฉันเดี๋ยวนี้ ฉันคงไม่มีกะจิตกะใจที่จะทำอะไร เมื่อคืนนี้ฉันก็คิดถึงเรื่องนี้อยู่ทั้งคืนจนนอนไม่หลับเชียวนะ”
“แต่ตอนนี้ฉันคงแลกป้ายชื่อกับนายไม่ได้แล้วล่ะ เพราะว่าป้ายชื่อของฉันมันหายไปตั้งนานแล้ว ขอโทษด้วยนะชุนสุเกะ”
เรียวกะหันหลังทำท่าจะเดินกลับไปทางเก่า เพราะอยากจะเข้าไปข้างในโรงเรียนจะแย่อยู่แล้ว
“เรียวกะ ถ้าหากตอนนี้เธอจะรังเกียวฉันน่ะ ฉันก็ไม่ว่าหรอกนะ แต่ว่าฉันขอร้องอะไรเธอสักอย่างนึงจะได้มั้ย? อย่างเดียวนั้นจริงๆ รับปากกับฉันได้รึเปล่า?”
เรียวกะยืนนิ่งเม้มริมฝีปากแน่นจนรู้สึกเจ็บ ตั้งอกตั้งใจฟังในสิ่งที่เขากำลังจะพูด
“เธอจะต้องประกวดร้องเพลงครั้งนี้นะ ห้ามถอนตัวอย่างเด็ดขาด แค่นี้เอง ทำได้รึเปล่าเรียวกะ?”
“.....”
นาน หลายอึดใจกว่าจะมีถ้อยคำหลุดออกจากปากของเรียวกะ
“ทำไมฉันจะต้องทำแบบนั้นด้วย ในเมื่อทำไปก็มีแต่ความผิดหวัง กับแค่เรื่องง่ายๆอย่างการขอแลกป้ายชื่อกับนายฉันยังแพ้คนอื่นเลยนี่นา แล้วฉันจะเอาปัญญาอะไรไปแข่งขันกับคนอื่นๆเค้ากันล่ะ ฉันไม่อยากเสียใจ ฉันไม่ต้องการผิดหวังอีกแล้วนายเข้าใจมั้ย”
“เปล่าเลยนะเรียวกะ เธอไม่ได้แพ้ใครหรอกนะ เชื่อฉันสิ เธอแค่ลงมือช้ากว่าคนอื่นก็เท่านั้นเอง ถ้าหากว่าตอนนั้นเธอไม่รอจนถึงเวลวที่จะต้องกลับบ้าน ป้ายชื่อของฉันก็เป็นของเธอไปแล้วล่ะ แต่เรื่องนั้นน่ะมันไม่ได้สำคัญหรอกนะ มันสำคัญตรงที่ฉันดีใจที่เดินได้ลงมือเดินเข้ามาขอแลกป้ายชื่อกับฉันต่างหากล่ะ เพราะมันได้ทำให้ฉันรู้ว่าความรู้สึกที่ฉันมีต่อเธอน่ะ ได้รับการตอบรับกะเค้าเหมือนกัน ฉันไม่ได้คิดไปเองว่าเธอเองก็ให้ความสำคัญกับฉันเหมือนกัน”
“ฉันไม่เข้าใจหรอกนะว่านายกำลังพยายามที่จะบอกอะไรกับฉัน แล้วเรื่องมันก็ผ่านมานานแล้วด้วย ช่างมันเถอะชุนสุเกะ ฉันจะรีบไปเรียนล่ะ”
เรียวกะแกล้งทำเป็นซื่อบื้อทั้งๆที่รู้อยู่เต็มอกว่าชุนสุเกะอยากที่จะกลับมาเป็นเพื่อนสนิทกับเธออีกครั้ง
“เดี๋ยวสิเรียวกะ สิ่งที่ฉันพยายามจะบอกกับเธอก็คือ เธอจะตัดสินใจเอาเองว่าเธอทำไม่ได้ สู้คนอื่นไม่ได้ได้ยังไงกันล่ะ ในเมื่อเธอยังไม่ยอมที่จะลงสนามแข่งขัน ลงมือทำอยู่แบบนี้น่ะ ก็เหมือนกันกับตอนที่เธอขึ้นรถไฟนั่นแหละ ถ้าเธอไม่ยอมเลือกขึ้นรถไฟสักขบวนเธอก็จะไม่ได้ไปถึงไหน แต่ถ้าหากเธอได้ตัดสินใจขึ้นรถไฟขบวนที่แล่นผ่านมา อย่างน้อยๆรถไฟขบวนนั้นก็จะพาให้เธอไปไหนต่อไหน และอาจจะได้พบกับสิ่งที่ไม่คาดคิดมาก่อน อย่างเช่นการได้กลับมาเจอกันของเราสองคนยังไงล่ะ”
ทันที่ที่แน่ใจว่าชุนสุเกะได้พูดจบแล้ว เรียวกะก็สูดหายใจแรงๆเข้าเต็มปอด ขณะที่บอกกับตัวเองว่าเธอจะลองลงมือทำในสิ่งที่อยากทำดูสักครั้ง จะไปถอนตัวออกจากการประกวดร้องเพลงที่ชุนสุเกะช่วยส่งใบสมัครให้
“แค่นี้ใช่รึเปล่าธุระของนายน่ะ”
“ไม่ต้องทำท่ารังเกียจฉันมากขนาดนั้นหรอกนะยัยเห่ย ฉันไม่ใช่นายเน่าที่เธอจะเล่นหัวเล่นตัวได้ตามอำเภอใจแล้วนะ แล้วฉันก็ไม่ได้อยากแลกป้ายชื่อของฉันกับเธอด้วย”
เรียวกะชะงักฝีเท้าแต่ยังไม่ยอมหันไปมองชุนสุเกะ เธอไม่เข้าใจท่าทีเขาเลยสักนิด ...ทำไมจู่ๆถึงได้พูดจาใจร้ายออกมาแบบนี้นะ
“ฉันเองก็ไม่ได้อยากเป็นเพื่อนกับเธอนักหรอกนะยัยเห่ย จำเอาไว้ซะด้วย”
ประโยคนี้เองที่ทำให้ในที่สุดน้ำตาของเรียวกะก็ไหลออกมา เธอก้มหน้างุดและแอบรีบเอามือป้ายเช็ดน้ำตา แล้วบอกกับชุนสุเกะว่าเป็นสิ่งที่เธอรู้ดีมาโดยตลอดอยู่แล้ว ก่อนจะเริ่มต้นเดินเร็วๆอีกครั้ง แต่ก็เดินไปได้แค่ไม่กี่ก้าว ก็ถูกชุนสุเกะวิ่งตามมาดึงข้อมือเอาไว้
“แต่ฉันอยากอยู่ใกล้ๆเธอ จะคอยปกป้องเธอจากคนเกเร แล้วก็อยากจะเดินจูงมือกับเธอด้วย เป็นกำลังใจคนสำคัญให้กับเธอ คือ...ฉัน คือ...ฉัน ฉันคิดว่า...ฉันคงจะชอบเธอมาตลอด แต่ว่าตอนนั้นฉันไม่รู้ว่าจะเรียกความรู้สึกแบบนี้ว่าอะไร”
เรียวกะไม่รู้ตัวว่าเธอกำลังร้องไห้ตอนที่ยืนนิ่งๆอยู่ในอ้อมแขนของชุนสุเกะ จนกระทั่งชุนสุเกะเช็ดน้ำตาให้เธอ เรียวกะจึงรู้ตัวและยิ้มออกมาได้ทั้งๆที่สองแก้มยังชื้นไปด้วยน้ำตา
“นายไม่ได้พูดเล่นแน่นะนายเน่า นายอย่าแกล้งให้ฉันสับสนเล่นนะ จำเอาไว้ซะด้วย เพราะถ้าหากนายแกล้งฉันล่ะก็ ฉันจะบอกให้เท็ปเปเอาชื่อนายเน่าไปประจานให้ทั่วโรงเรียนของนายเลย”
“ใครจะกล้ารังแกคนที่ตัวเองชอบได้ล่ะ จริงปะ? แต่ว่า...วันนี้น่ะมันสายมากแล้วนะ”
“ก็เพราะนายนั่นแหละที่ทำให้ฉันเสียเวลา ป่านนี้อาจารย์คงจะเตรียมน้ำเอาไว้ให้ฉันล้างโรงยิมแล้วล่ะ น่าเศร้าชะมัดเลย...”
“งั้น... วันนี้เราโดดเรียนไปเกมเซ็นเตอร์กันดีกว่า ฉันจะได้พาเธอไปซ้อมร้องเพลงในตู้คาราโอกะยังไงล่ะ ชอบใช่มั้ยล่ะ? ฉันน่ะรู้ใจเธอที่สุดเลยนะ”
“แต่ฉันว่านายอยากเล่นปาจิงโกะมากกว่าล่ะมั้ง...แต่ ก็โอเคนะ”
ชุนสุเกะดึงกระเป๋านักเรียนของเรียวกะไปถือ ก่อนจะแกล้งดึงผมเปียของเธอให้หลุดลุ่ย แล้ววิ่งหนีนำหน้าไปอย่างรวดเร็ว เรียวกะรีบวิ่งตามอย่างกระชั้นชิด แล้วตลอดทางก็มีแต่เสียงหัวเราะคิกคักของทั้งคู่ดังประสานกันเป็นระยะ ราวกับว่าทั้งโตเกียวมีกันอยู่แค่สองคนที่กำลังวิ่งเล่นด้วยกันอีกครั้งอย่างมีความสุข


--------------------------------
" All Copyright©Nanthanatcha "