วันศุกร์, มิถุนายน 29, 2550

โลกคนละสี


ฉันเป็นคนที่ไม่ชอบความมืดมาตั้งแต่ไหนแต่ไรอย่างไม่มีเหตุผล คำอธิบายที่แท้จริงของเรื่องนี้คงจมอยู่ในช่วงวัยที่ฉันยังเยาว์เกินกว่าจะจดจำได้ ทุกครั้งที่ตกอยู่ในความมืด ไม่อาจมองเห็นได้ว่าเบื้องหน้ามีอะไรอยู่บ้าง ฉันจะตื่นกลัวและหวาดระแวงภัยไปสารพัด ทั้งๆบางครั้งที่ที่ฉันยืนอยู่คือที่ที่ปลอดภัยที่สุดซึ่งเรียกว่า”บ้าน”ก็ตาม
เย็นวันนั้น ฉันกำลังยืนชะเง้อมองดูความคับคั่งของการจราจรอย่างเหนื่อยหน่ายอยู่ริมทางเท้า คงต้องเสียเวลาอีกหลายนาทีกว่าฉันจะข้ามถนนได้สำเร็จ ด้วยความไม่คุ้นชินกับการข้ามถนนเพียงลำพัง เมื่อไร้ความเชื่อมั่นที่ถ่ายเทมาจากมืออุ่นๆของคนข้างๆก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกหวาดหวั่น...
“พี่ครับ...”เสียงเรียกแปลกหูและรอยสัมผัสเบาๆที่แขน ฉุดดึงความสนใจของฉันไปยังต้นทาง ...เด็กหนุ่มผู้อ่อนวัยกว่าร่างท้วมที่เพิ่งจะก้าวลงจากรถโดยสารสี่ล้อเล็กเมื่อไม่กี่นาทีก่อนนั่นเอง ความรู้สึกผิดก่อตัวขึ้นเล็กๆในสำนึกที่ปล่อยให้การใช้ชีวิตแบบคนเมืองหลวงเข้าครอบงำ จนลืมที่จะใส่ใจกับคนรอบข้าง แห้งแล้งน้ำจิตน้ำใจที่จะจุนเจือต่อผุ้อื่น
“จะข้ามถนนใช่มั้ยคะ?”ฉันเอ่ยตามมารยาทพร้อมๆกับคว้าข้อมือของเด็กหนุ่มมาจับไว้ อยากให้เขารู้สึกเชื่อมั่นและไว้วางใจฉันเหมือนๆกับที่ฉันเคยได้รับความรู้สึกนี้จากคนที่คอยอยู่ข้างๆเวลาข้ามถนน ถึงแม้ว่าเส้นด้ายที่เชื่อมโยงความสัมพันธ์ระหว่างซึ่งกันและกันจะต่างกันลิบลับก็ตาม
เส้นด้ายที่โยงใยระหว่างฉันกับที่คอยจูงมือข้ามถนนมีชื่อว่า เพื่อน พี่น้อง พ่อแม่ ตลอดจนคนที่รู้สึกดีดีต่อกัน แต่เส้นด้ายระหว่างฉันกับเด็กหนุ่มที่ฉันกำลังพาข้ามถนนอยุ่นี้ ไม่สามารถเรียกได้แม้กระทั่ง”คนแปลกหน้าต่อกัน” เพราะเขาคงไม่มีโอกาสได้เห็นหน้าฉันสักครั้ง
การใช้ชีวิตแบบคนเมืองหลวงที่เยื้อแย่งแข่งขันกันไปสารพัด ทำทุกอย่างรีบเร่งเพื่อแข่งขันกับเวลา ราวกับว่าพระเจ้าไม่ได้ให้เวลากับมนุษย์ทุกคนบนโลกคนละยี่สิบสี่ชั่วโมงเท่ากันทั้งหมด ทำให้ฉันหลงลืมไปเสียสนิทใจว่า ในซอยบ้านฉันมีผู้พิการทางสายตาพักอาสัยอยู่หลายครอบครัว ทันทีที่ฉันย้ายมาพักอาศัยอยู่ที่ซอยนี้เมื่อหลายปีก่อนฉันก็พบว่ามีร้านบริการนวดแผนโบราณโดยคนตาบอดซุกตัวอยู่ในห้องแถวเล็กๆขนาดหนึ่งคูหาตั้งอยู่ก่อนแล้ว แต่จนป่านนี้ฉันยังไม่เคยได้เข้าไปใช้บริการเลยสักครั้ง กลับเลือกใช้จ่ายฟุ่มเฟือยไปกับน้ำมันหอมระเหยจากต่างประเทศในร้านสปาหรูกลางเมือง
แม้ไม่ใช่ครั้งแรกที่ฉันได้พาคนตาบอดข้ามถนน แต่ฉันรู้สึกอิ่มเอมอย่างประหลาด เหมือนตัวเองเป็นผู้กล้าหาญในตำนานอะไรสักอย่าง ที่สามารถพาเขาข้ามถนนได้สำเร็จอย่างปลอดภัย อาจจะเป็นเพราะความที่ชีวิตของมันวุ่นวายและมีสีสันมากมายจนเกินไป จนทำให้มองเห็นความงดงามของน้ำใจและมิตรภาพสีขาวไม่เห็น ต่างจากเขาผู้ที่ต้องอยุ่ในโลกมืด ที่มีแต่ความหม่นเทาให้เห็น รอยยิ้มที่ไม่ต้องเสแสร้งจึงผุดพรายเปื้อนหน้าอย่างง่ายดาย นั่นคงหมายถึงเป็นอีกหนึ่งครั้งที่เขาได้เห็นสีขาวอันงดงามของน้ำใจและความเอื้อเฟื้อที่ยังคงมีอยู่จริงบนโลกใบนี้ ซึ่งนั่นทำให้ฉันพลอยรู้สึกดีและอดไม่ได้ที่จะยิ้มตามไปด้วย
การจูงมือคนอีกคนนึงข้ามถนน ทำให้เราต้องหมุนเวลาของตัวเองให้ช้าลง เพราะต้องคำนึงถึงความปลอดภัยของคนที่อยู่ข้างๆเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งคน กับหลายคนอาจคิดว่านั่นคือภาระที่ต้องพยายามเลี่ยงหลบ แต่สำหรับฉันแล้ว... ตอนนี้ฉันขอสัญญาว่าเต็มใจที่จะหมุนเวลาของตัวเองให้ช้าลง ช้ากว่าคนอื่นๆ เพื่อที่จะได้มีโอกาสพาใครอีกคนนึงโดยสารไปให้พ้นฝั่งถนนด้วยกัน

--------------------------------
" All Copyright©Nanthanatcha "