วันพุธ, ตุลาคม 10, 2550

มิตรภาพไม่จำกัดพื้นที่

ก้าวแรกที่ฉันเหยียบย่ำเข้าสู่บ้านของผู้เป็นเพื่อนรุ่นพี่ที่คบหากันมาร่วมสิบปีนั้นเต็มไปด้วยความหวั่นวิตก เพราะนอกจากความเป็นคนแปลกหน้า ต่างถิ่นของฉันแล้ว ยังมีความแตกต่างทางด้านศาสนาและวัฒนธรรมเป็นเครื่องมือในการแบ่งแยกฉันออกจากผู้คนจำนวนร่วมร้อยชีวิตที่กำลังชุมนุมกันอยู่ตรงหน้าอีกแรง แต่กลับไม่มีใครที่มีท่าทางสงสัยในการมาถึงของหญิงสาวแปลกหน้าปราศจากฮิญาบอย่างฉัน ผู้คนส่วนใหญ่จิตใจจดจ่ออยู่กับบทสวดที่มีภาษาและท่วงทำนองแปลกหู บางส่วนวุ่นวายอยู่กับการจัดเตรียมอาหาร และมีเพียงไม่กี่คนที่กำลังกุลีกุจอต้อนรับแขก นอกจากพี่ใบแล้วฉันก็ไม่รู้จักใครสักคน ด้วยความที่ตลอดระยะเวลาที่คบหากันมานั้น ทั้งฉันและเขาต่างก็เว้นวรรคพื้นที่ส่วนตัวของซึ่งกันและกันเอาไว้ การมาของฉันในวันนี้ก็เพื่อให้เพื่อนรู้ว่าในนาทีที่ทุกข์โศก เขายังมีฉันอยู่เคียงข้างเสมอ ก็เพียงรับรู้ข่าวเท่านั้น ฉันพร้อมเสมอที่จะไปนั่งอยู่ใกล้ๆ แม้ว่าความรู้ความเข้าใจในเรื่องของศาสนาอิสลามของตัวเองจะเท่ากับศูนย์ก็ตาม
ขอบคุณโชคชะตาที่ไม่เคยใจร้ายต่อการพบกันของฉันกับเขา ยืนเคว้งคว้างได้ไม่ถึงช่วงถอนลมหายใจทิ้ง เสียงเรียกคุ้นหูก็ดังขึ้นใกล้ๆ ใบหน้าคมแข้มของเขาเปื้อนความประหลาดใจและรอยยิ้มกว้าง ส่วนฉันแทบจะกระโดดกอดพร้อมรอยยิ้มที่กว้างกว่า
เสียงบทสวดเพื่ออุทิศผลบุญให้กับคุณแม่ของเขาที่ล่วงลับไปเมื่อเดือนก่อนยังคงดำเนินต่อไป ขณะที่เขาถามไถ่การมาถึงของฉันและข่าวคราวระหว่างที่เราไม่ได้พบเจอกันอย่างใส่ใจ จนฉันต้องออกปากให้เขาแยกตัวไปทำหน้าที่เจ้าบ้านดูแลแขกคนอื่นอย่างเกรงใจ หลังเสียงสวดเงียบลงไม่นาน อาหารสำหรับเลี้ยงแขกก็ถูกทยอยยกนำมาเสริฟ อาหารคาวหวานเต็มถาดใหญ่มากเกินไปที่จะทานคนเดียวหมด แต่ไม่ว่าจะหันไปทางไหนก็พบแต่คนที่รู้จักมักคุ้นกันดีอยู่แล้วทั้งนั้น ฉันจึงต้องก้มหน้าทานอาหารเพียงลำพัง
“อย่าเพิ่งกลับนะ ไม่รีบใช่มั้ย อยู่คุยกันก่อน”
ฉันรับปากเพื่อนก่อนจะพาตัวเองไปนั่งรับลมเย็นๆที่บริเวณใต้ถุนบ้าน ตอนนี้เองที่เพิ่งจะมีคนเดินเข้ามาถามถึงที่มาที่ไปของฉันพร้อมกับรอยยิ้มกว้างอย่างเป็นมิตร ซึ่งฉันเดาว่าน่าจะเป็นพี่น้องของเพื่อนฉันนั่นเอง เขาคงกลัวว่าฉันจะเหงาระหว่างที่รอเขาสะสางภาระความรับผิดชอบของตัวเอง
ตกเย็นแขกเหรื่อที่มาร่วมงานบุญก็เริ่มทยอยกันกลับ ในนาทีที่ฉันกำลังนั่งมองท่าทางการทักทายกันของมุสลิมด้วยความสนใจอยู่นั่นเอง มือคู่หนึ่งก็ยื่นมาตรงหน้าฉันพร้อมกับรอยยิ้มที่ไม่ได้ฝืนฝืด ทั้งที่ฉันกับชายผู้สูงวัยกว่าตรงหน้าไม่เคยรู้จักกันมาก่อน ต่างคนต่างไม่รับรู้ถึงความสัมพันธ์ที่มีต่อคนในบ้านหลังนี้ และการแต่งกายที่แปลกแยกจากคนในละแวกนี้และใบหน้าที่ไม่มีฮิญาบของฉันเป็นตัวบ่งบอกเป็นอย่างดีว่าฉันไม่ใช่มิตรร่วมศาสนาของเขา
ฉันยื่นมือไปสัมผัสกับมือคู่นั้น มือที่หยาบกร้านอย่างคนที่ทำงานหนักมานาน มือของชายแปลกหน้า ต่างศาสนาที่ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจะมีโอกาสได้พบกันอีกรึเปล่า ก่อนจะยกขึ้นแตะที่ปลายจมูกของตัวเอง ฉันไม่รู้หรอกว่าการทักทายของมุสลิมมีความหมายอย่างไรบ้าง และตัวเองได้ทำถูกต้องตามหลักศาสนารึเปล่า ฉันรู้เพียงแค่ว่าได้กลิ่นหอมของมิตรภาพติดมือกลับมา และกลิ่มหอมโศกของการจากลาก็ทำให้อยากที่จะพบหน้าเพื่อสัมผัสกับความหอมหวานของมิตรภาพที่ไม่ได้จำกัดอยู่เพียงแค่ในพื้นที่ของคนร่วมชาติ ศาสนาเท่านั้นอีกครั้งหนึ่ง
--------------------------------
" All Copyright©Nanthanatcha "