วันศุกร์, มิถุนายน 29, 2550

นับหนึ่ง...ที่กระบี่

ฉันกับเพื่อนร่วมทริป(และร่วมงาน)อีกห้าหกคนเริ่มต้นเช้าวันใหม่ที่จังหวัดกระบี่ด้วยกันที่โต๊ะอาหารของโรงแรมอย่างเงียบหงอย ท่าทางเหนื่อยเนือยของแต่ละคนนั้นฟ้องชัดว่าทุกคนยังคงพะว้าพะวังอยู่กับหน้าที่การงานที่เพิ่งผละจากมาที่กรุงเทพฯ
สำหรับฉันเองนอกจากตำแหน่งหน้าที่ที่เพิ่งจะเริ่มต้นกับเพื่อนร่วมงานกลุ่มนี้ได้ไม่กี่วันแล้วก็ยังคงมีอีกหลายเรื่องน่าเครียดอยู่ในหัว ทั้งเรื่องของการปฏิบัติตัวกับเจ้านายและเพื่อนใหม่ในการเดินทางมาครั้งนี้ และไม่เว้นแม้กระทั่งเรื่องความสับสนอลหม่านที่สนามบินเมื่อเย็นวาน จึงเริ่มต้นเช้านี้ด้วยอารมณ์ที่ขุ่นมัวกว่าทุกวัน
โปรแกรมการเที่ยวของพวกเราเริ่มต้นขึ้นในช่วงสาย จากการสอบถามกับเจ้าหน้าที่ต้อนรับของโรงแรมเชอร์ราตันที่พวกเราเข้าพักและคนขับรถตู้ที่พวกเราตกลงเช่าเพื่อใช้ในการเดินทางตลอดทริป ทำให้ได้รู้ว่าสภาพอากาศในช่วงนี้ไม่เหมาะกับการทำกิจกรรมหลายๆอย่างที่พวกเราได้วางแผนกันเอาไว้ล่วงหน้า ลงท้ายจึงสรุปลงตรงที่พวกเราจะใช้เวลาในวันแรกสำหรับการนั่งสปีดโบ้ทตระเวนไปตามเกาะแก่งและจุดดำน้ำต่างๆของจังหวัดกระบี่
ไกด์ที่คอยอำนวยความสะดวกและให้ข้อมูลต่างๆในเรือเป็นชายหนุ่มร่างเล็ก ผิวเข้ม และใช้ภาษาอังกฤษได้อย่างคล่องแคล่ว แต่พวกเราฟังสำเนียงชาวใต้แท้ๆซึ่งเขาใช้สื่อสารกับชาวไทยเพียงกลุ่มเดียวในทริปดำน้ำหนนี้อย่างพวกเราไม่รู้เรื่อง ซึ่งดูเหมือนจะสร้างความหนักใจให้กับเขาเป็นอย่างมากในตอนแรก และในที่สุดเขาก็ยิ้มกว้างออกมาได้เมื่อรู้ว่าพวกเราเข้าใจภาษาอังกฤษที่เขาใช้สื่อสารกับนักท่องเที่ยวได้เป็นอย่างดี การเดินทางของทุกคนในเรือลำนี้จึงเริ่มต้นขึ้นอย่างเรียบง่ายไม่มีการแบ่งสัญชาติใดๆต่อกัน หนุ่มชาวยุโรปเต็มใจวางกล้องถ่ายวีดิโอในมือเพื่อให้ความช่วยเหลือแก่สาวร่างอวบชาวเกาหลีที่เมาเรือจนสลบไสลตั้งแต่ตอนที่เรือแล่นออกจากฝั่งได้เพียงแค่ไม่กี่นาที โดยไม่รอให้มีท่าทีร้องขอจากใคร เป็นอีกภาพประทับใจที่ฉันใช้ความรู้สึกส่วนที่ดีที่สุดเก็บเอาไว้แทนเมโมรี่การ์ด และรอยยิ้มที่ทุกคนส่งให้กันและกันก็กว้างขึ้นเมื่อนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติร่วมทริปจัดแจงคัดแยกเปลือกผลไม้ ขวดพลาสติกและกระป๋องน้ำดื่มที่ใช้แล้วใส่ลงในถุงอีกใบหนึ่งตามอย่างพวกเรา แทนที่จะโยนใส่ไว้รวมกับของที่ยังไม่ได้ทานเหมือนอย่างช่วงแรกๆที่เริ่มต้นลงมือทาน


แม้ว่าฉันจะคุ้นเคยกับทะเลซะจนไม่ค่อยตื่นเต้นนักกับหน้าตาสะสวยของคลื่นน้ำ หาดทราย และฟ้าใสของทะเลอันดามัน แต่เจ้าปลาสีส้มตัวโตฝูงใหญ่ที่ว่ายวนอยู่รอบตัวตอนที่ได้หยุดพักเดินเล่นบนเกาะ แล้วนั่งแช่น้ำเล่นๆอยู่บนทรายก็ทำให้อดกรี๊ดไม่ได้ ยิ่งพอเอามือกอบทรายแล้วยื่นให้ เจ้าปลาสีส้มก็รุมตอดก็ยิ่งสนุกจนไม่อยากที่จะลุกไปไหนกันเลยทีเดียว
วันที่สองของทริปกระบี่พวกเรามีเวลาไม่มากนัก เพราะไฟล์ทของสายการบินไทยในขากลับอยู่ในช่วงบ่ายสองโมงเศษ คนขับรถตู้ใจดีจึงอาสาเป็นไกด์นำทางพาพวกเราไปตระเวนชิมอาหารทะเลสดเจ้าอร่อย นวดผ่อนคลายในสปาที่บรรยากาศสุดน่ารัก แวะซื้อของฝาก ก่อนจะปิดท้ายที่การเที่ยวชมวัดถ้ำเสือ นอกจากกรงเสือที่อยู่หน้าถ้ำกับพระพุทธรูปขนาดใหญ่ฉันก็ไม่เห็นพระสงฆ์สักรูปในวัดนี้ จะมีก็แต่คุณยายสวมชุดขาวสามสี่คนที่กวักมือเรียกให้ฉันเข้าไปหาแล้วผูกข้อมือให้ด้วยด้ายสีขาวเท่านั้นเอง และแม้ว่าจะฟังพรของคุณยายไม่ค่อยรู้เรื่องนัก แต่ฉันก็จับได้ถึงความอบอุ่นใจดี มีเมตตาของผู้สูงอายุซึ่งพร้อมจะแจกจ่ายให้แม้แต่กับคนแปลกหน้าต่างสำเนียงภาษาต่อกันก็ตาม
แม้ว่าทริปนี้จะแสนสั้น แต่นั่นก็ได้ทำให้ฉันรู้ว่า เมื่อได้ก้าวลงเรือลำเดียวกันกับคนอื่นไปแล้ว ก็ควรที่จะเริ่มต้นที่จะนับหนึ่งไปพร้อมๆกัน เพราะการเดินทางครั้งนี้ได้ทำให้ฉันได้เก็บอีกหลายความทรงจำและความรู้สึกดีๆที่ไม่มีเมโมรี่การ์ดชิ้นไหนบรรจุเอาไว้ได้หมดจากเพื่อนร่วมทริปที่ไปด้วยกันมาจนถึงทุกวันนี้


--------------------------------
" All Copyright©Nanthanatcha "