วันพฤหัสบดี, มิถุนายน 21, 2550

ตื่นตา...ตระการใจในฮ่องกง

เมื่อพูดถึงฮ่องกงสิ่งแรกที่ฉันนึกถึงก็คือ บรรยากาศสุดแสนโรแมนติกแบบเท่ๆในหนังเรื่องผู้หญิงข้าใครอย่าแตะ ในขณะที่หลายคนต่างก็คงพากันนึกถึงฮ่องกงในนิยาม”เกาะสวรรค์ของนักช้อป” เลื่องชื่อในเรื่องของสินค้าแฟชั่นทั้งรองเท้า เสื้อผ้า กระเป๋า ยันเครื่องใช้ไฟฟ้าที่ราคาถูกแบบสุดๆ
...นอกจากสิ่งต่างๆที่กล่าวมานี้แล้ว ฮ่องกงยังมีของดีอะไรซุกซ่อนอยู่อีกมั้ยนะ?
และด้วยข้อสงสัยนี้เองที่ทำให้สองเท้าของฉันได้มายืนอยู่ภายในบริเวณสนามบินฮ่องกงด้วยจุดหมายที่ค่อนข้างจะแตกต่างจากคนอื่นอยู่สักหน่อย เวลาท้องถิ่นตอนที่เครื่องลงเพิ่งจะบ่ายสองโมงเศษๆแต่ผู้คนกลับไม่พลุกพล่านและชุลมุนอย่างที่คิด ฉันเลือกที่จะเดินทางด้วยรถไฟฟ้าใต้ดิน แล้วไปต่อรถบัสเพื่อเก็บเกี่ยวเอาบรรยากาศการดำเนินชีวิตของผู้คนที่นี่ และชมวิวสวยๆระหว่างทางที่มุ่งหน้าสู่ที่พักเป็นลำดับแรก เมื่อข้ามไปสู่ฝั่งเกาลูนและเลี้ยวเข้าสู่ถนนนาธานได้ไม่นานนัก ก็ถึงที่ตั้งของโรงแรม Stankford ที่ฉันได้จับจองห้องพักเอาไว้
ย่านนี้มีชื่อเรียกว่ามงก๊ก (Mong Kok) นอกจากจะเป็นอีกหนึ่งแหล่งที่พักชั้นดีที่นักท่องเที่ยวนิยมมาใช้บริการกันแล้ว ในช่วงเวลากลางคืนถนนหนทางในย่านนี้จะถูกปิดเพื่อให้บรรดาพ่อค้าแม่ค้าได้นำสินค้าต่างๆมาจำหน่ายและบริการให้กับนักท่องเที่ยวกันอย่างคึกคัก มีข้าวของสารพัดให้ช้อปปิ้งและมีของกินมากมายให้เลือกสรรอย่างละลานตา ถนนสายนี้จะเป็นสิ่งแรกที่ยืนยันกับฉันว่าเสน่ห์ของฮ่องกงไม่มีวันหลับใหลเลยจริงๆ

Peak Tower and Peak Galleria ขึ้นชื่อว่าเป็นจุดชมวิวที่สวยที่สุดของฮ่องกง มีการพูดปากต่อปากกันว่าถ้าหากมาฮ่องกงแล้วไม่ได้มาที่ The Peak แล้วล่ะก็ ก็เหมือนมาไม่ถึงฮ่องกงกันเลยทีเดียว สิ่งที่ได้เห็นเมื่อมองลงไปด้านล่างจากจุดนี้ก็คือ แสงไฟหลากสีลานตาซึ่งประดับอยู่ตามตึกรามบ้านช่องที่กระจุกตัวอยู่ในพื้นที่อันจำกัด อีกทั้งคอนโดสูงระฟ้าก็ยังแข่งขันตกแต่งด้วยแสงไฟหลากสีสัน และด้วยแสงไฟที่ระยิบระยับจับตาไปทั่วทั้งเกาะนี่เอง ที่ทำให้ฮ่องกงงดงามสมกับเป็นเมืองในฝันของฉากหนังรักสุดเท่อันเต็มไปด้วยมนต์เสน่ห์ที่ตรึงตาติดใจไม่รู้ลืม
และถ้าหากนึกอยากที่จะมองฮ่องกงในมุมที่แตกต่างออกไปจากเดิม ฉันขอแนะนำให้ลองนั่งรถราง Peak Tram ชมเมืองเล่น เพราะรถรางคันนี้จะทำให้เราได้มองเห็นทัศนียภาพของฮ่องกงในมุมแบบเอียงๆ สวยแปลกตาไปอีกรูปแบบหนึ่ง
อีกสิ่งหนึ่งที่ขาดไม่ได้เมื่อได้แวะไปเยี่ยมเยือนฮ่องกงก็คือ การสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ของที่นี่ ทริปนี้ฉันเดินทางไปไหว้เจ้าแม่กวนอิมที่ Replusc Bay ซึ่งนอกจากจะได้ชมความสวยงามขององค์เจ้าแม่กวนอิมองค์ใหญ่แล้ว วิวสวยๆของทะเลสาบย่านอะเบอร์ดินก็ยังเป็นอีกหนึ่งความงดงามของฮ่องกงที่ยากจะลืมได้ลง จุดนี้จึงเป็นอีกหนึ่งจุดที่นักท่องเที่ยวชาวต่างชาติเลือกที่จะเดินทางมาเพื่อเก็บภาพความประทับใจ และที่นี่ก็ยังเป็นที่ตั้งของภัตตาคารลอยน้ำสุดหรูที่ถูกใช้เป็นโลเคชันในการถ่ายทำหนังดังหลายๆเรื่องอีกด้วย
หลังจากนั้นฉันก็เดินทางไปตามเส้นทางที่คู่มือนักท่องเที่ยวบอกไว้ นั่นคือเมื่อออกเดินทางด้วยรถไฟฟ้าใต้ดินสายเฉินวาน (Tsuen Wan Line) แล้วเปลี่ยนสายที่สถานีไล่กิ่ง จากนั้นก็นั่งไปจนสุดสายที่ตุงชุง (Tung Chung) แล้วก็ต่อรถบัสอีกทีนึงก็จะถึงที่ตั้งของวัดโป่หลิน (Po Lin Monastery) ซึ่งมีองค์พระโป่หลินขนาดใหญ่ตั้งอยู่กลางแจ้ง สามารถมองเห็นได้ตั้งแต่ตอนที่รถยังไปไม่ถึงวัด และเมื่อได้ยืนใกล้ๆกับฐานของพระพุทธรูป ฉันก็ต้องถึงกับแหงนหน้าแบบสุดๆเพื่อที่จะมองท่านแบบชัดๆกันเลยทีเดียว


สิ่งที่ฉันอยากแนะนำว่าห้ามพลาดอย่างเด็ดขาดเมื่อข้ามเรือไปซิมซาจุ่ยก็คือการแวะชมบรรยากาศของ Hong Kong Harbour ซึ่งตั้งอยู่ใกล้ๆกับโรงแรมแพนเนซูล่าสามารถหาเจอได้ไม่ยากนัก จากตรงนี้จะสามารถมองเห็นเกาะฮ่องกงเป็นรูปครึ่งวงกลมล้อมรอบตัวเราอยู่ จึงทำให้บริเวณนี้เป็นอีกหนึ่งจุดที่แสงแฟรชของนักท่องเที่ยวกระพริบพราวเก็บเกี่ยวเอาแสงไฟในยามค่ำคืนของฮ่องกงเอาไว้อย่างไม่ขาดสาย
จากฮ่องกงนักท่องเที่ยวสามารถเดินทางข้ามไปช้อปปิ้งต่อที่เมืองเสิ่นเจิ้นของจีนได้แบบไม่ยุ่งยาก แต่นอกจากขั้นตอนการขอเข้าเมืองแล้วจะต้องเสียค่าผ่านทางเป็นเงิน 150 ฮ่องกงดอลลาร์ (1 ฮ่องกงดอลลาร์ตกประมาณ 5 บาท) ที่ย่าน Dong Men นอกจากสินค้าแบรนด์เนมราคาถูกนานาชนิดแล้ว บัวหิมะก็ยังเป็นอีกหนึ่งของฝากที่นักท่องเที่ยวนิยมซื้อติดไม้ติดมือกลับไป
ก่อนเดินทางกลับถ้าหากยังพอมีเวลาจะพาเด็กๆแวะไปเที่ยวที่ Snoopy’s World ซึ่งเป็นสวนสนุกที่เปิดให้เข้าชมฟรีด้วยก็ยิ่งดี แต่ว่าฉันเลือกที่จะข้ามไปยังซิมซาจุ่ยอีกครั้ง เพราะนึกขึ้นได้ว่ายังไม่ได้แวะไปที่ Teddy Bear’s Kingdom เพื่อซื้อของขวัญให้กับตัวเองในทริปนี้ ก่อนที่จะโบกมืออำลาสีสันอันตระการตาและเสน่ห์มายาที่ไม่มีวันหลับใหลของฮ่องกงด้วยรอยยิ้ม
กลับจากฮ่องกงฉันมีของฝากที่จะนำมาส่งต่อให้กับคนที่เมืองไทยอยู่แน่นกระเป๋า แต่สิ่งเดียวที่ฉันไม่สามารถที่จะส่งต่อหรือมอบให้กับใครได้ สำหรับที่สิ่งได้รับกลับมาด้วยในทริปนี้ก็คือ พลังในการขับเคลื่อนตัวเองไปข้างหน้าอย่างไม่มีวันหลับใหลเช่นเดียวกันกับฮ่องกง ที่ตื่นตระการตาอยู่ตลอดเวลาและยังไม่มีทีท่าว่าเสน่ห์จะหลับลงได้โดยง่าย
--- --- ---
การเดินทาง
สายการบินจากรุงเทพฯไปฮ่องกงมีอยู่หลายสายการบินด้วยกัน อาทิเช่น การสายการบินไทย โทร. 0-2280-0060, 0-2628-2000,สายการบินคาเธ่ย์ แปซิฟิค โทร. 0-2263-0606 ,สายการบินโอเรียนท์ ไทย แอร์ไลน์ โทร. 1126, 0-2267-3210-5
ระเบียบการเข้าเมือง
นักท่องเที่ยวที่จะเดินทางไปฮ่องกงต้องถือหนังสือเดินทางที่ถูกต้องและมีอายุการใช้งานอย่างน้อย 1 เดือนหลังจากกำหนดวันเดินทางออกจากฮ่องกง นักท่องเที่ยวที่ถือสัญชาติไทยไม่ต้องขอวีซ่า ซึ่งสามารถอยู่ในฮ่องกงได้นานตั้งแต่ 7 วัน ถึง 180 วัน
ปัจจุบันการเดินทางไปฮ่องกงเพื่อติดต่อธุรกิจมีความสะดวกมากยิ่งขึ้นหากใช้บัตรเดินทาง (Travel Pass) ของเขตการปกครองพิเศษฮ่องกง (HKSAR) และสามารถขอวีซ่าเข้าจีนแผ่นดินใหญ่ได้ในฮ่องกง โดยเตรียมรูปถ่าย 1 รูปและใช้เวลา 3 วันทำการในการดำเนินการ
สามารถติดต่อขอวีซ่าได้ที่สำนักงานวีซ่าของสาธารณรัฐประชาขนจีน สำนักงานคณะกรรมการของกระทรวงการต่างประเทศของสาธารณรัฐประชาชนจีนในฮ่องกง บริษัท ไชน่า เทรเวล เซอร์วิส (HK) จำกัด และบริษัท ไชน่า อินเตอร์เนชั่นแนล เทรเวล เซอร์วิส HK จำกัด
สามารถหาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ ศูนย์บริการข้อมูลข่าวสารการท่องเที่ยวฮ่องกง โทร. 0-2233-4329-30
--- --- ---
--------------------------------
" All Copyright©Nanthanatcha "