วันพฤหัสบดี, มิถุนายน 28, 2550

เรื่องสั้น "ในห้องนั้น?"


มีเหตุการณ์หนึ่งในความทรงจำที่ฉันไม่อาจจะลืมได้ลง มันเกิดขึ้นในช่วงใกล้สอบปลายภาค เหล่าบรรดานักศึกษาต่างก็กำลังมุ่งมั่นอยู่กับการอ่านหนังสือเพื่อเตรียมตัวสอบเก็บคะแนน หลายคนยอมอดตาหลับขับตานอน เพื่อตัวเลขเกรดเฉลี่ยตอนปลายภาคที่คาดหวังเอาไว้ แต่สำหรับนักศึกษาปีสุดท้ายอย่างฉันแล้ว จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องขยันอ่านหนังสือให้มากกว่าคนอื่น โดยมีคะแนนเกียรตินิยมเป็นเป้าหมาย มันคือความคาดหวังสูงสุดของครอบครัวที่ฉันจะต้องทำให้สำเร็จ
ตลอดระยะเวลาหนึ่งสัปดาห์ที่ได้หยุดเพื่ออ่านหนังสือสอบ ฉันเก็บตัวอยู่ในห้องพักของมหาวิทยาลัยเพียงลำพัง เพื่อทุ่มเทเวลาให้กับการอ่านหนังสืออย่างเต็มที่ และมีกาแฟดำชนิดไม่ใส่ครีมเทียมและน้ำตาลอยู่ติดมือเกือบตลอดเวลา ซึ่งมันคืออาวุธสำคัญที่สามารถกำจัดความง่วงได้เป็นอย่างดี
หลังจากที่สอบเก็บคะแนนเสร็จ บรรยากาศโดยรอบของมหาวิทยาลัยก็กลับมาครึกครื้นอีกครั้ง นักศึกษาวางตำรับตำราแล้วหากิจกรรมต่างๆมาสร้างความบันเทิงให้กับตัวเองกันอีกระลอก และฉันก็มีโอกาสได้รู้จักกับพอล เขาเป็นนักกีฬาฟุตบอลของทีมมหาวิทยาลัย
“ไอ้นัท ฉันว่า...แกน่าจะหาอย่างอื่นทำดูบ้างนะ ไม่ใช่วันๆเอาแต่อ่านหนังสือ เดี๋ยวก็ไม่มีแรงรับปริญญาหรอก หัดออกกำลังกายซะบ้างดิ”
พอลเอ่ยปากชวนด้วยประโยคเดิมๆ เมื่อเห็นว่าฉันเริ่มที่จะหยิบหนังสือขึ้นมาอ่าน ขณะนั่งรอเขาอยู่ริมสนามฟุตบอล
ทุกเย็นฉันมักจะมานั่งดูพอลกับเพื่อนๆในทีมของเขาฝึกซ้อม เพื่อรอหาเพื่อนไปร่วมวงกินข้าวเย็นด้วยกันก่อนจะแยกย้ายกลับห้องพัก พอได้ร่วมวงกินข้าวด้วยกันบ่อยขึ้นฉันกับเพื่อนกลุ่มนี้ของพอลก็สนิทสนมกันดี สนิทมากกว่าเพื่อนที่เรียนบริหารมาด้วยกันซะอีก
“สนุกนา...แล้วจะติดใจ”
พอโดนหลายเสียงชวนหนักๆเข้า วันหนึ่งฉันก็เลยตัดสินใจลองเล่นฟุตบอลกับพวกเขาดูบ้าง แต่ด้วยความที่ฉันเพิ่งจะหัดเล่น และไม่ค่อยได้เล่นกีฬา ลงไปวิ่งตามลูกกลมๆได้ไม่นานนักก็เล่นเอาเหนื่อยจนแทบขาดใจ จึงหยุดยืนหายใจถี่ๆก่อนจะค่อยๆเดินเลี่ยงออกมาข้างสนาม
“อ้าว...ไม่ไหวซะแล้วเหรอ? แรกๆก็แบบนี้แหละ”
พอลขว้างลูกฟุตบอลส่งให้เพื่อนแล้วเดินตามฉันออกมานั่งที่ข้างสนาม เราทั้งสองคนมีเหงื่อชุ่มด้วยกันทั้งคู่ แต่สีหน้าของพอลนั้นกลับยังดูสดชื่น ซึ่งแตกต่างจากฉันโดยสิ้นเชิง ไม่ต้องเห็นใบหน้าของตัวเองตอนนี้ฉันก็รู้ดีว่า สารรูปของตัวเองนั้นดูย่ำแย่เพียงใด
“พักก่อนก็แล้วกัน เอ้า...”
ฉันรับแก้วน้ำมาจากพอล หลักจากที่ดื่มเข้าไปอึกใหญ่ก็รู้สึกสดชื่น และมีเรี่ยวมีแรงขึ้น จึงไม่แปลกใจเลยว่าทำไมพอลกับเพื่อนๆถึงได้เล่นฟุตบอลกันได้อย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย หลังจากเล่นฟุตบอลด้วยกันวันนั้นฉันจึงได้รู้ว่าในกระติกน้ำที่เพื่อนๆดื่มกันมีส่วนผสมพิเศษที่พวกเขาใส่ลงไปเจือปนอยู่
“เดี๋ยวนี้ทิ้งหนังสือได้แล้วนะแก”
ฉันร่วมวงเตะบอลกับเพื่อนบ่อยขึ้นจนหลายคนเอ่ยปากแซว ฉันคงติดใจการเล่นฟุตบอลเข้าจริงๆอย่างที่พอลเคยบอก พอรู้ตัวว่าไม่ถนัดกับการคอยวิ่งตามลูกฟุตบอลในสนาม ฉันก็ขอเปลี่ยนมาเล่นตำแหน่งผู้รักษาประตู และหลังจากที่เลิกเล่นบอล กลับมาที่ห้องพัก ฉันก็สามารถอยู่อ่านหนังสือจนดึกดื่นได้นานขึ้น โดยที่แทบจะไม่ต้องพึ่งพากาแฟดำแก้วเดิมเลย
ถัดจากนั้นอีกสามเดือนเป็นช่วงใกล้สอบปลายภาค ฉันจึงหยุดเล่นบอล และกลับมามุ่งมั่นอยู่กับการอ่านหนังสืออย่างหนัก เพื่อคะแนนเกียรตินิยมที่ทางบ้านมักจะโทรมาตอกย้ำกับฉันอยู่เสมอ ฉันอดนอนจนกระทั่งนั่งหลับในอยู่บ่อยๆเพราะกลัวอ่านหนังสือไม่ทัน จนในที่สุดฉันก็ต้องขอแบ่งเอาส่วนผสมพิเศษที่เพื่อนๆใส่น้ำดื่มตอนเล่นบอลมาผสมในน้ำดื่มของตัวเองบ้าง มันช่วยแก้ง่วงได้ชะงักนัก
--- --- --- ---
มีนักศึกษาชายคนหนึ่งเพิ่งย้ายเข้ามาอยู่ใหม่ แต่ว่าฉันยังไม่มีโอกาสได้ทักทายทำความรู้จัก เท่าที่ฉันเห็น เขาเป็นคนประหลาดมาก เงียบเฉย ดูซึมเซา ร่างกายก็ดูผอมเกร็งไปหมด คล้ายเป็นคนขี้โรค และมีอะไรบางอย่างที่ไม่เหมือนกับคนทั่วๆไป แววตาของเขาที่ฉันเห็นมันดูดื้อรั้น และขัดแย้งขวางโลกอย่างบอกไม่ถูก บางทีอาจจะเป็นเพราะฉันเพิ่งเห็นเขาเป็นครั้งแรกจึงรู้สึกกับเขาแบบนั้นก็ได้
--- --- --- ---
นอกจากเรียนหนังสือแล้ว เขายังต้องทำงานหารายได้พิเศษมาใช้เป็นค่าใช้จ่าย ฐานะทางบ้านเขาคงไม่สู้ดีนัก ถ้าหากเขาไม่ต้องออกไปที่ไหน เขาก็จะขลุกตัวอยู่ในห้องพักทั้งวัน ไม่มีใครรู้ว่าเขาทำอะไร อย่างไร ทำตัวลึกลับ ไม่พบปะสุงสิงกับใครเลย แต่ว่าความลับไม่มีในโลกหรอก เพราะว่าห้องพักของเขาอยู่ติดกับห้องของฉัน...
ดึกสงัด ฉันได้ยินเสียงคนเดินวนไปวนมา ในขณะที่ตัวเองกำลังนั่งงัวเงียอยู่ที่โต๊ะเขียนหนังสือด้วยความง่วง และเมื่อยล้า ตอนแรกฉันคิดว่าเขาคงจะนอนไม่หลับเพราะมีเรื่องกลุ้มใจ จึงไม่ได้ใส่ใจอะไร แต่ต่อมาก็ได้ยินคล้ายเสียงคนกำลังร้องไห้สะอึกสะอื้น เสียงร้องไห้นั้นรุนแรงขึ้นเรื่อยๆพร้อมกับเสียงข่มขู่ของใครคนหนึ่ง
“แกต้องตาย แกต้องตาย ฉันจะฆ่าแก”
ตามติดมาด้วยเสียงรัวทุบกำแพงอย่างแรงติดต่อกันอีกหลายครั้ง
--- --- --- ---
ฉันไม่ได้เล่าให้ใครฟังถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้น ตอนนี้จิตใจของฉันเฝ้าคิดถึงแต่เรื่องสอบจึงเก็บงำเอาความสงสัยเอาไว้คนเดียว ฉันเจอเขาตอนเกือบใกล้เที่ยง ขณะที่เดินสวนกันตรงบันได สภาพของเขาดูเหมือนกับคนไม่ได้นอนมาทั้งคืน เสื้อผ้ายับยู่ยี่ ชายเสื้อถูกปล่อยออกมาหลุดลุ่ย ดูไม่มีราศีของนักศึกษาเอาซะเลย
คืนต่อมา ในขณะที่ฉันกำลังนั่งอ่านหนังสืออยู่ ก็ได้ยินเสียงดังมาจากห้องข้างๆอีก แต่คราวนี้เป็นเสียงร้องไห้สะอึกสะอื้นในตอนแรก แต่ต่อมาก็กลับกลายเป็นเสียงหัวเราะคิกคักในตอนดึกสงัด
--- --- --- ---
หลายคืนแล้วที่ฉันได้ยินเสียงประหลาดๆดังมาจากห้องของเขา บรรยากาศยามค่ำคืนของหอพักก็ดูวังเวงลงทุกที ด้วยความอยากรู้อยากเห็นและรำคาญเต็มที ฉันจึงตัดสินใจลุกจากโต๊ะเขียนหนังสือตอนกลางดึก เอาใบหน้าแนบติดกับฝาผนังห้อง ด้วยความอยากรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นในห้องของเขา นักศึกษาที่เพิ่งย้ายเข้ามาอยู่ใหม่
“แกต้องตาย แกต้องตาย แกสมควรที่จะตายได้แล้ว ฮ่าๆๆ ฉันจะมีความสุขมากเลย ถ้าหากได้เห็นแกกำลังตายลงไปต่อหน้า ตายไปซะเดี๋ยวนี้เลย...”
เป็นเสียงของเขากำลังพูดพึมพำอยู่กับตัวเอง ก่อนจะมีเสียงคนเดินลากเท้าวนไปวนมาอยู่ภายในห้อง แต่ความอ่อนล้าเพราะอดนอนติดต่อกันมาหลายคืน ก็ทำให้ฉันรู้สึกกระหายน้ำขึ้นมาซะก่อน
--- --- --- ---
ฉันมีโอกาสเจอเขานั่งอยู่ที่โต๊ะหินอ่อนหน้าหอพักเพียงลำพังในเย็นวันต่อมา สายตาของเขาทอดเหม่อเลื่อนลอย เงียบเฉย ไม่สนใจกับสิ่งรอบข้าง ฉันยืนมองเขาอยู่นาน พยายามทบทวนลำดับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับห้องข้างๆที่ตัวเองได้ยิน สงสัยเต็มทีว่ามีอะไรซ่อนอยู่ภายในห้องนั้น
--- --- --- ---
ในที่สุดฉันก็ตัดสินใจอย่างเด็ดเดี่ยวว่าคืนนี้จะต้องรู้ให้ได้ว่ามีอะไรเกิดขึ้นภายในห้องนั้น ห้องของเขาที่อยู่ติดกันกับห้องพักของฉัน วันนี้ฉันจึงเก็บตัวอยู่ในห้องเพื่ออ่านหนังสือสอบตั้งแต่บ่าย นอกจากคะแนนเกียรตินิยมแล้ว เป้าหมายของฉันในตอนนี้ก็คือ ฉันจะเฝ้าสังเกตดูพฤติกรรมของเขา
เสียงนาฬิกาที่ชั้นวางของเดินเสียงดังซะจนฉันไม่มีสมาธิ มันดังราวกับว่าเป็นเสียงของการเคาะระฆังเหง่งหง่างในช่วงกลางดึก ฉันจึงลุกขึ้นเดินไปเอาใบหน้าแนบกับฝาผนังห้อง
“แกรีบๆตายไปซะน่ะดีแล้ว จะได้ไม่ต้องแบกรับเอาภาระความรับผิดชอบบ้าๆบอๆ ไม่ต้องแก่งแย่งชิงดีชิงเด่นกัน แกคิดดูสิ...ถ้าหากแกทำให้คนอื่นผิดหวัง แกมันจะน่าสมเพชมากแค่ไหน”
มันคือเสียงพูดคุยกับตัวเองที่ฉันได้ยินติดต่อกันมาหลายคืน แล้วตามมาด้วยเสียงเดินลากเท้าวนไปวนมาอยู่ภายในห้อง ก่อนจะเปลี่ยนเป็นเสียงร้องไห้สะอึกสะอื้นเช่นเดียวกับคืนก่อนๆ
ฉันถอยกลับมานั่งที่โต๊ะ พยายามรวบรวมสมาธิอ่านหนังสือต่อไป แต่ยิ่งฉันพยายามคิดถึงแต่เรื่องเกียรตินิยมมากเท่าไหร่ ความสับสนวุ่นวายใจก็ยิ่งมีมากขึ้นเท่านั้น จนฉันต้องพักสายตาจากหน้าหนังสือมองนิ่งไปที่ต้นทางของเสียง
หัวใจของฉันเต้นแรง รัวถี่เหมือนใครกำลังตีกลองอยู่ในอก เหงื่อซึมทั่วใบหน้า รู้สึกได้ถึงความแรงของเลือดที่ฉีดพล่านภายในร่างกาย เมื่อได้ยินเสียงเขากำลังเดินออกจากห้อง
เสียงร้องไห้นั้นยิ่งดังขึ้นเรื่อยๆ เป็นเสียงที่โหยหวน หวีดหวิวล่องลอยตามสายลม สลับกับเสียงหัวเราะคิกคัก คล้ายกับคนเสียสติ ดังระเรื่อยไปตามลมดึกที่พัดผ่าน
จู่ๆก็มีเสียงฟ้าผ่าดังขึ้นสนั่นหวั่นไหว แล้วฝนหลงฤดูก็กระหน่ำเทลงมาอย่างไม่ลืมหูลืมตา ลมที่แรงขึ้นพัดหน้าต่างห้องที่ฉันเปิดทิ้งไว้ปิดดังโครม ในขณะที่เสียงเดินลากเท้าและทุบฝาผนังก็ยังคงดังอยู่เรื่อยๆอย่างไม่มีทีท่าว่าจะหยุด เสียงเดินของเขาค่อยๆใกล้เข้ามาเรื่อยๆ จิตใจของฉันเต้นระทึก
แล้วเสียงฝีเท้าก็หยุดอยู่ที่หน้าประตูห้องของฉัน
“แกต้องตาย แกสมควรตาย ถ้าแกทำให้คนอื่นผิดหวังแกก็ต้องตายอย่างน่าสมเพชอยู่แล้วนี่นา ฮ่าๆๆ แกต้องตาย”
เสียงนั้นโทมเข้ามาในโสตประสาตของฉัน พร้อมๆกับเสียงคนเคาะประตูรัวถี่ยิบ หัวใจของฉันเต้นรัวราวกับจะหลุดออกมาอยู่นอกอก ใบหน้าซีดเผือดราวกับในร่างกายไม่มีเลือดหล่อเลี้ยงเลยสักหยด ฉันนั่งนิ่ง...ลืมหายใจ
--- --- --- ---
“นัท นัท ไอ้นัท...”
นักศึกษาชายสองสามคนกำลังช่วยกันปั้มหัวใจช่วยเหลือนัทที่ช็อกหมดสติอย่างร้อนรน หนึ่งในนั้นมี “เขา” นักศึกษาที่เพิ่งย้ายเข้ามาอยู่ในห้องพักติดกับนัทเมื่อหลายวันก่อนรวมอยู่ด้วย
--- --- --- ---
เสียงของรถพยาบาลที่มาจอดรับนัทที่หน้าหอพักเงียบหายไปแล้ว คงเหลืออยู่แต่เสียงวิพากษ์วิจารณ์ของเหล่าบรรดาเพื่อนนักศึกษาเท่านั้นเอง
“...ไอ้นัทมันช็อก เพราะมันใช้ยาเกินขนาดน่ะสิ”


--------------------------------
" All Copyright©Nanthanatcha "