วันเสาร์, ธันวาคม 30, 2549

บทกวีต้อนรับ ด.ญ.พรอักษร แสนยะมูล "ต้นฉบับ"


เป็นคนเขียนกวีไม่เอาไหน
แต่อยากเขียนให้...ให้นางฟ้าน้อยๆ
ผู้เป็นต้นฉบับนับเป็นขวัญถุงอันเลิศลอย
ของพ่อกุดจี่น้อยกับแม่มะเหมี่ยวที่เกี่ยวใจ
ขอฝันดี อารมณ์ดี เป็นที่ตั้ง
เป็นพลังเป็นเรี่ยวแรงเป็นท้องฟ้าใสใส
เติบโตเป็นเจ้าหญิงผู้พร้อมด้วยสิ่งรื่นเริงใจ
ขอความสุขอยู่กับ"แสนยะมูล"ตลอดไปนะขวัญเอย
"เขียนสดบนเว็บ ในคืนกลางฤดูหนาวที่ 29 ธันวา 2549 โดย ใบข้าว"



All Rights Reserved.
2006 Copyright©Nanthanatcha Cheusuwan
------------------------------------------

วันศุกร์, ธันวาคม 22, 2549

สามสิบสามวันที่ฉันนอนคนเดียว


...ป่านนี้ เธอคงกำลังเดินทางกลับบ้าน

หรือไม่ก้อเถลไถลคุยเล่นอยู่กับเพื่อน

หลังจากที่เล่นดนตรีเสร็จ...

"ในขณะที่ฉัน ยังไม่รู้สึกง่วงเลยสักนิด"

สามสิบสามวันแล้ว แต่ยังไง...

"ฉันก้อยังไม่รู้สึกชิน"

กับการไม่ต้องรอใครสักคนให้กลับมาถึงบ้าน

"ในเวลากลางดึกแบบนี้"

รู้สึกแปลกๆเวลาพลิกตัวไป แล้วไม่เจอใครอีกคน

นอนหลับอยู่ข้างๆกัน

น่าแปลกเนอะ...

ทั้งๆที่เหตุการณ์แบบนี้มันเคยเกิดขึ้นกับเราทั้งสองคนมาแล้ว

เมื่อหลายปีก่อน

บางที...ฉันอาจจะ"พยายาม"กับเรื่องของเราครั้งนี้มากเกิดไป

เกือบสองอาทิตย์ที่ฉันปิดมือถือ ดึงสายโทรศัพท์บ้านออก

เพราะฉันรู้ว่า เธอคงไม่โทรมาง้อฉันแน่ๆ

ทั้งๆที่เธอเคยง้อฉัน ซึ่งจริงๆแล้ว...

"เธอเป็นฝ่ายง้อฉันมาตลอด"

แต่หนนี้ฉันเป็นฝ่ายพยายามง้อเธอแล้ว

ในตอนแรกที่เราทะเลาะกัน หลังจากที่เธอขอแยกกันอยู่กับฉันสักพัก

เหมือน"ใจเรายังไม่เย็นพอ"ตอนที่ฉันเป็นฝ่ายง้อ

เพราะเราเพิ่งแยกกันอยู่แค่สองวัน

"สองวันที่ฉันใช้ชีวิตแบบเลื่อนลอย"

แล้วในที่สุดก้อกลายเป็นว่า เราคุยกันคนละภาษา

ไม่ตะโกนใส่หน้ากัน แต่คุยกันไม่รู้เรื่องเลยสักนิด

สุดท้าย...ฉันบอกเธอว่า"ดูแลตัวเองดีดีนะ"

เธอบอกว่า..."เช่นกัน"

แล้วฉันก้อเดินจากเธอมา

หลายวันกว่าฉันจะเริ่มร้องไห้

"เพราะไม่มีใครให้ฉันงี่เง่าด้วยอีกแล้ว"

การที่ฉันปิดการสื่อสารของตัวเองลง

"คือการวัดใจ"

ตัวฉันเอง...ใช้ชีวิตอยู่ได้ โดยไม่ต้องคุยกับเธอ

คนอื่น...ที่เป็นห่วงฉันยังมีอีกตั้งหลายคน

บางคนถึงขั้นไล่โทรเช็คชื่อฉันกับโรงพยาบาลด้วยซ้ำไป

ฉันจะพิสูจน์ให้เธอดูอีกครั้งว่า...

"เธอไม่มีความจำเป็นต่อชีวิต"

แม้ว่าตอนนี้ ยังใจหาย

"ยังต้องนับทุกลมหายใจอย่างปวดร้าวอยู่บ้างก้อตาม"




All Rights Reserved.
2006 Copyright©Nanthanatcha Cheusuwan
------------------------------------------

วันศุกร์, ธันวาคม 15, 2549

ว่าด้วยเรื่องของความเจ็บ

วันนี้มีเหตุให้ต้องมีบาดแผล
บนร่างกาย ที่หัวเข่ากับเท้าข้างซ้าย
ฝั่งเดียวกันกับที่อยู่ของก้อนเนื้อที่เรียกว่า”หัวใจ”
เลือกออก แต่รู้สึก”เจ็บ”ไม่มากนัก
เพราะเลือกเองที่จะเจ็บ ต้องการให้อีกคนนึงไม่น้อยไปกว่ากัน
แต่กับรอยแผลที่หัวใจที่เกิดขึ้น
ไม่เคยต้องการที่จะเจ็บ แม้จะอยากให้อีกคนนึงเจ็บไปด้วยกัน
แต่เราเลือกไม่ได้ ตกอยู่ในภาวะจำยอม
เพราะเอาหัวใจของตัวเราเองไปไว้ในกำมือของอีกคนนึง
คนที่เราอยากให้เค้าได้รู้สึกเจ็บเหมือนๆกับเราบ้าง
ด้วยน้ำมือของเราเอง
แต่เราไม่เคยทำได้เลยสักครั้ง
เพราะว่าหัวใจของเค้า ไม่เคยอยู่ในกำมือของเราเลย

“ใบข้าว เขียน ที่บ้านสวน กลางเดือน ธันวาคม ‘06”


All Rights Reserved.
2006 Copyright©Nanthanatcha Cheusuwan
------------------------------------------

วันจันทร์, ธันวาคม 11, 2549

ร่วมกัน


คืนนี้เธอคงนอนกอดคนอื่น

อยู่ใต้ผ้าห่มผืนเดียวกันกับที่เราเคยใช้

รู้ทั้งรู้...คนนั้นคงดูแลเธอได้ไม่เท่าที่ฉันเอาใจ

แต่ก็อดอิจฉาไม่ไหว ในความร้างไกลยังผูกพัน

หวงแหน...และปวดปร่า

แม้รู้ว่าเธอยังต้องการอ้อมกอดของฉัน

แต่ใจแคบเกินจะยืนซ้ำรอยคนอื่นทั้งที่เสียดายคืนวัน

“ขอบคุณที่เคยใช้เวลาร่วมกัน”

แต่ฉันไม่ต้องการใช้คนรักร่วมกันกับใคร
...............

"ใบข้าว" เขียน 11 ธันวา '06



All Rights Reserved.
2006 Copyright©Nanthanatcha Cheusuwan
------------------------------------------

ในอ้อมกอดชื่อความรัก




"ในอ้อมกอดชื่อความรัก"

ใบข้าว เขียน


กล่อมเอื้อมมือไปผลักชามโจ๊กที่เพิ่งจะถูกวางลงตรงหน้าเบาๆ แล้วเบือนหน้ากลับไปทางทิศตะวันออก ดวงอาทิตย์ของวันใหม่กำลังเคลื่อนตัวออกจากยอดไม้อย่างเชื่องช้า แดดเช้าทำให้พื้นที่ไม่กี่ตารางเมตรบริเวณระเบียงบ้านดูอบอุ่นมากขึ้น แต่บรรยากาศอันอุ่นหวานนั้นไม่อาจะเยียวยาให้ความรู้สึกของกล่อมในตอนนี้ดีขึ้นเลยแม้แต่น้อย
“เรื่องมากอีกแล้วนะแก เพราะนิสัยแบบนี้ของแกล่ะมั้ง ถึงได้ทำให้เค้าทนแกไม่ไหว”
ลัลถอนหายใจเบาๆพลางก้มหน้าก้มตากินโจ๊กในชามของตนเอง ไม่รบเร้าเซ้าซี้อะไรกับกล่อมเพราะรู้ดีว่าผู้เป็นเพื่อนเกลียดการคาดคั้นคะยั้นคะยอเป็นที่สุด อีกทั้งตอนนี้ยังอยู่ในสภาพที่ค่อนข้างแฮ้งค์อันเป็นผลมาจากการการดื่มเหล้าอย่างหนักตั้งแต่เมื่อคืนก่อน จึงพร้อมที่จะวีนแตกอาละวาดได้ทุกเมื่อ
แม้จะสนิทสนมคุ้นเคยกันได้ไม่นานนัก แต่ลัลก็เชื่อว่าเธอรู้จักเพื่อนคนนี้ดีกว่าคนไหนๆ แม้ว่าจะมีหลายสิ่งหลายอย่างที่แตกต่างกันแบบสุดขั้ว แต่ด้วยความไว้เนื้อเชื่อใจซึ่งกันและกัน ทำให้ต่างคนต่างอ่านกันออกมากกว่าคนอื่น และสิ่งที่ลัลดีใจที่สุดก็คือ กล่อมเลือกที่จะมาหาเธอที่บ้านสวนในเวลาที่กล่อมต้องการพื้นที่ส่วนตัวเพื่อพัก เพื่อหนีจากอะไรบางอย่างที่เข้ามากระทบจิตใจ และอยู่ในภาวะที่อ่อนแอเกินไปที่จะรับมือ
“เวลาห้าปีกว่าที่ผ่านมามันคือการอดทนยังงั้นเหรอ? แล้วอดทนมาทำไมจนป่านนี้ล่ะ มันน่าจะจบๆกันไปตั้งนานแล้ว จะได้ไม่ต้องเปลืองเวลา เสียความรู้สึก เพราะฉันก็เป็นของฉันแบบนี้มาตั้งแต่ไหนแต่ไร”
กล่อมยังคงทอดสายตานิ่งอยู่ที่เดิม แม้ความเลื่อนลอยในน้ำเสียงจะทำให้ลัลรู้ว่า กล่อมไม่ได้ตั้งใจจะให้คนที่นั่งร่วมโต๊ะกินข้าวใส่ใจกับถ้อยคำเหล่านั้น แต่ลัลก็ยังอดไม่ได้ที่จะแสดงความคิดเห็น
“แต่แกกับเค้าเพิ่งจะอยู่กินกันด้วยกันแค่ปีเดียวเองนี่นา แค่เห็นหน้ากันแค่วันละไม่กี่ชั่วโมงแกกับเค้ายังหาเรื่องมาทะเลาะกันได้บ่อยๆ ยิ่งพอได้มาใช้เวลาอยู่ด้วยกันวันละมากกว่าสิบชั่วโมงมันก็ทำให้ต่างคนต่างเห็นตัวตนของกันและกันมากยิ่งขึ้น ไม่แปลกหรอกที่ความไม่เข้าใจกัน ความขัดแย้งระหว่างแกกับเค้ามันจะเพิ่มขึ้นเป็นเงาตามตัว แกก็ลดรานิสัยเอาแต่ใจตัวเอง แล้วยอมๆลงให้เค้าบ้างสิ ไม่ใช่เอะอะอะไรก็งอน หัดยอมเป็นฝ่ายแพ้ให้เค้าซะบ้างสิ”
กล่อมส่ายหน้าช้าๆหันมามองเพื่อนอย่างเต็มตา ความปวดร้าวในดวงตาคู่เศร้าฉายชัดให้ลัลเห็น หญิงสาวเดินเข้าไปโอบกอดเพื่อนรักไว้อย่างอาทร ลัลไม่เคยเห็นกล่อมอ่อนแอเท่าตอนนี้มาก่อนเลย แม้ความเจ็บปวดของกล่อมจะเดินทางไปไม่ถึงหยดน้ำตาในนาทีนี้ แต่มันได้เดินทางมาสู่หัวใจของลัลด้วย ถ้าหากสามารถทำได้เธอ อยากที่จะแบ่งเบาความเจ็บร้าวนั้นมาบ้าง ลัลไม่ต้องการเพียงแค่รับรู้ แต่อยากที่จะรู้สึกรู้สาไปพร้อมๆกับกล่อม
“โปมีคนอื่น”
เพียงแค่ไม่กี่พยางค์เท่านั้น แต่กล่อมกลับเอ่ยมันออกมาอย่างลำบากยากเย็น แล้วหยดน้ำใสๆก็ทิ้งตัวลงเปื้อนบริเวณหลังมือของลัล
หลายครั้งแล้วที่กล่อมทะเลาะกับคนรักรุนแรงจนถึงขั้นต้องพาตัวเองหนีมาพักอยู่กับลัล รอจนจิตใจของทั้งคู่สงบลงจึงกลับไปนับหนึ่งด้วยกันใหม่ ทำคล้ายกับว่าไม่เคยมีความขัดแย้งอะไรเกิดขึ้น แต่เมื่อทะเลาะกันอีกหนกล่อมก็มักจะเป็นฝ่ายขุดคุ้ยเอาเรื่องเก่าๆขึ้นมาถกเถียงเพื่อเอาชนะ
แม้กล่อมจะบอกกับใครต่อใครว่าตัวเองเอาแต่ใจน้อยที่สุดแล้ว งี่เง่าน้อยที่สุดแล้ว พยายามเอาชนะน้อยที่สุดแล้ว เรื่องมากน้อยที่สุดแล้วกับโป ซึ่งนับเนื่องเป็นคนนอกเงื่อนไขความสัมพันธ์แบบเพื่อน แต่ในความเป็นจริงที่คนรอบข้างมองเห็นคือกล่อมไม่เคยลดทอนความเป็นตัวเองลงให้กับโปเลย
และเหตุผลของการมาตัวเปล่าในสภาพที่เมามายของกล่อมหนนี้เมื่อหลายคืนก่อนก็ทำให้ลัลแปลกใจ
“โปบอกกับฉันเองว่าตอนนี้เค้ามีคนอื่น ฉันไม่มีความจำเป็นต่อชีวิตของเค้าแล้ว”
แรงถอนสะอื้นนั้นทำให้น้ำเสียงของกล่อมสั่นพร่า กล่อมรักและหวงแหนโปมากเพราะเธอได้ตัวของเขามาอย่างยากลำบาก แม้ว่ากล่อมจะไม่แน่ใจนักว่าได้หัวใจของโปมาด้วยหรือเปล่าแต่กล่อมก็ดีใจที่ได้ใช้ชีวิตช่วงหนึ่งร่วมกับโป และตลอดระยะเวลาห้าปีที่ผ่านมาเขาก็ไม่เคยทรยศต่อเงื่อนไขของคำว่าคนรักกัน ไม่เคยมีคนอื่นถึงแม้ว่าหลังจากที่ตกลงคบหากันแล้วกล่อมจะไม่ได้ตามไปนั่งเฝ้าเขาระหว่างเล่นดนตรีที่ร้านเหล้าอีกเลยก็ตาม
“ทำไมจู่ๆเค้าถึงได้บอกแกแบบนั้นล่ะ?”
“ฉันเล่าเรื่องของพี่ธรรม์ให้เค้าฟัง ฉันไม่อยากที่จะมีเรื่องปิดบังโกหกเค้าอีกต่อไป มันเจ็บนะเวลาที่เค้าพูดว่าอย่าโกหกเค้า เค้าเกลียดการโกหก ฉันไม่รู้นะว่าทำไมโปถึงได้มองฉันเลวร้ายนักหนา สรรหาเรื่องมาโกหกเค้าได้สารพัด คงโดนแฟนเก่ากับเพื่อนๆเป่าหูเอาไว้เยอะ”
ปลายเสียงของกล่อมเจือความสะใจที่ท้ายที่สุดแล้วเธอก็เอาชนะคนรักเก่าของโปจนได้ แม้ว่าจะโดนกลั่นแกล้งอยู่หลายครั้งแต่กล่อมก็เลือกที่จะนิ่งเฉยทั้งๆที่รู้ทันในแผนการเหล่านั้นก็ตาม แล้วการกระทำแบบนี้ของกล่อมก็ทำให้ถูกหมั่นไส้มากขึ้นเรื่อยๆ เพราะโปมักจะเข้าข้างกล่อมแทบทุกครั้งที่ได้รับรู้เรื่องราวจากปากคำของกล่อมเองที่เก็บเอาไปฟ้อง นั่นแหละที่ทำให้คนรักเก่าของโปกับเพื่อนๆเกลียดกล่อมนักหนา
“ฉันก็เลยตัดสินใจพูดความจริงให้เค้าฟังในทุกๆเรื่อง”
“รวมทั้งเรื่องของพี่ธรรม์เนี่ยนะ”
ลัลไม่รู้ว่าควรจะเห็นใจหรือสมน้ำหน้ากับการตัดสินใจครั้งนี้ของกล่อมดี หลายครั้งที่ลัลบอกให้กล่อมตัดขาดความสัมพันธ์ระหว่างธรรม์ซะ ถ้าหากกล่อมรักและเลือกที่จะใช้ชีวิตกับโป แต่กล่อมก็ไม่เคยคิดที่จะทำทั้งๆที่ทั้งธรรม์และกล่อมต่างก็มีคนของตัวเองที่ต้องแคร์ต้องใส่ใจในฐานะคนรัก และความสัมพันธ์นั้นก็ต้องเป็นความลับอย่างที่สุด แต่มันกลับราบรื่นและยืนยาวมากกว่าความสัมพันธ์ที่มีต่อโป
“คืนนั้นโปไม่ต้องไปเล่นดนตรี เราก็เลยได้ทำกับข้าวกินกันที่บ้านแล้วออกมานอนปูเสื่อมองฟ้าตอนกลางคืนที่หน้าบ้าน มันน่าจะมีความสุขดีใช่มั้ยล่ะ... แล้วเค้าก็พูดเรื่องที่ฉันไปกินเหล้ากับเพื่อนเมื่อคืนก่อนแล้วโกหกว่าไปค้างบ้านแม่ขึ้นมา ตัดพ้อต่อว่าที่ฉันโกหกเค้า ฉันก็เลยตัดสินใจที่จะบอกความจริงในทุกๆเรื่อง ทั้งๆที่พยายามทำใจแล้วนะว่าการตัดสินใจครั้งนี้มันอาจจะทำให้ฉันสูญเสียเค้าไป แต่เพราะคำสัญญาของโป สัญญาปากเปล่าที่เค้าพูดตอนนั้นว่าเค้าจะยอมรับในความจริงที่ฉันกำลังจะพูด จะไม่โกรธ จะไม่เกลียดกัน นั่นแหละที่ทำให้ฉันอุ่นใจและกล้าหาญมากขึ้น”
กล่อมสูดลมหายใจเข้าให้ลึกที่สุดก่อนที่จะค่อยๆระบายมันออกมาช้าๆ เพื่อขับไล่แรงสะอื้น ลัลเกลี่ยซับรอยหยดน้ำจางๆที่เปื้อนหน้าให้เพื่อนรักก่อนจะถอยร่นตัวเองกลับไปนั่งที่เก้าอี้ตัวเดิมของตน เมื่อเห็นว่ากล่อมแข็งแรงขึ้นบ้างแล้ว
“ทันทีที่เล่าจบโปก็เงียบไปพักใหญ่ นิ่งเงียบ เฉยเมยจนฉันไม่สามารถคาดเดา วัดหยั่งความรู้สึกของเค้าได้เลย ตอนนั้นฉันสับสนไปหมดเลย อยากจะหายตัวไปจากตรงนั้นเลยด้วยซ้ำไป ไม่รู้ว่าถ้าหากเค้าลุกขึ้นแล้วขับรถออกไปจากบ้านในนาทีนั้นฉันจะทำยังไง แล้วแกเดาออกมั้ยว่ามันเกิดอะไรขึ้นต่อจากนั้น”
ลัลส่ายหน้าช้าๆคลี่ยิ้มบางๆแทนคำตอบ เมื่อเห็นเพื่อนยังไม่มีทีท่าว่าจะเล่าต่อ ก็ลุกเดินเอาชามโจ๊กเปล่าของตัวเองเข้าไปเก็บในครัว ไม่กี่นาทีถัดมาลัลก็กลับมานั่งลงที่เดิมพร้อมแก้วใส่นมสดสำหรับเพื่อนรัก
“หลายนาทีกว่าเค้าจะเอื้อมมือมาขยี้ผมของฉันเบาๆ”
กล่อมรับแก้วนมอุ่นๆจากมือของลัลมาดื่ม ก่อนจะเล่าเรื่องต่อด้วยน้ำเสียงที่เข้มแข็งมากขึ้นกว่าเดิม
“ตอนนั้นโปบอกกับฉันว่าเขารับได้ที่ฉันเคยนอนกอดคนอื่นมาก่อน แล้วซักไซ้ไล่เรียงเกี่ยวกับธรรม์ต่ออีกหลายข้อซึ่งฉันไม่อยากที่จะพูดถึง เพราะฉันแทบไม่รู้จักธรรม์เลยสักนิด ด้วยความคิดที่ว่าฉันไม่ได้รักเค้าฉันจึงไม่จำเป็นต้องรับรู้ประวัติเค้ามากมาย ไม่ต้องใส่ใจว่าอะไรที่ธรรม์ชอบ ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าใส่เสื้อผ้าไซส์ไหน สำหรับธรรม์แล้ว เขาก็เป็นแค่ต้นไม้ใหญ่ที่ฉันได้อาศัยร่มเงาให้ชื่นใจหายเหนื่อยเท่านั้น โดยที่ฉันไม่ต้องแคร์ว่าเค้าจะรู้สึกยังไง ไม่ต้องเอาใจใส่ ซึ่งแตกต่างจากโปโดยสิ้นเชิง ตอนนั้นฉันดีใจนะที่ได้ยินจากปากของเค้าว่ารับได้ ถึงแม้โปจะไม่ได้เอ่ยปากขอร้องแต่ในนาทีนั้น ฉันก็สัญญากับตัวเองว่าจะตัดขาดความสัมพันธ์ของฉันกับธรรม์ซะที ฉันลบเบอร์ของธรรม์ออกจากมือถือและตั้งใจว่าถ้าหากธรรม์ไม่ยอมรับกติกาข้อสุดท้ายของความสัมพันธ์ระหว่างฉันกับเค้า ฉันก็จะเปลี่ยนเบอร์มือถือ”
ลัลนั่งเท้าคางฟังเพื่อนอย่างตั้งอกตั้งใจ แม้ว่าตอนนี้จะไม่มีร่องรอยน้ำตาให้เห็นแล้ว แต่ความว่างเปล่า เหว่ว้าในดวงตาก็ฟ้องชัดว่ากล่อมรักโปมากแค่ไหน มันไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่คนเอาใจใส่ในทุกรายละเอียดของคนรักอย่างกล่อม จะใช้ชีวิตในทุกๆวันได้โดยที่ไม่ต้องคิดถึงและเป็นห่วงโป
“คืนต่อมาที่โปไปเล่นดนตรีเค้าไม่ได้ขับรถไป แล้วโปก็หายไปสองคืนบอกว่าไปเล่นดนตรีที่พัทยากับเพื่อน ฉันก็ทำความเข้าใจไว้อย่างนั้นจนกระทั่งโปนั่งแท็กซี่กลับมาในตอนเช้าพร้อมกับผู้หญิงคนนึง ซึ่งไม่ว่าฉันจะพยายามมองยังไง ก็มองไม่เห็นว่าเธอจะเหมือนผู้หญิงหากินตรงไหน แล้วฉันก็เลือกที่จะไม่ถามที่มาของเธอด้วย แต่โปเป็นคนเดินมาบอกกับฉันเองว่าสองคืนที่หายไป เค้าไปนอนกับผู้หญิงคนนี้มา ฉันไม่รู้ว่าเค้าทำแบบนั้นลงคอได้ยังไงกัน ทำไมเค้าถึงได้ใจร้ายนัก”
ปลายเสียงสั่นพร่า แล้วความเจ็บปวดของกล่อมก็กลั่นตัวเป็นน้ำตาอีกหน หญิงสาวฟุบหน้าลงร้องไห้ ลัลทำได้เพียงนั่งนิ่ง จำนนต่อถ้อยคำปลอบโยน ถึงแม้ว่าลัลจะรู้จักกับโปในแบบที่เพียงแค่เห็นหน้าและทักทายกันไม่กี่ครั้ง แต่ลัลก็พอจะคาดเดาได้ว่าโปจะรู้สึกเจ็บปวดแค่ไหนที่ได้รู้ว่าคนรักที่ตัวเองนอนกอดอยู่ทุกคืน ยังคงกอดกับคนอื่นอยู่ด้วย ถึงแม้ว่าอ้อมกอดนั้นจะไม่ได้มีชื่อว่าความรักก็ตาม
“บางทีเค้าอาจจะแค่ต้องการประชดแกเท่านั้นล่ะมั้ง แกได้ถามเค้ามั้ยล่ะว่าทำไม”
กล่อมส่ายหน้า ใช้มือปาดป้ายน้ำตาที่เปื้อนเต็มหน้า พลางถอนสะอื้น
“วันนั้นไม่ใช่วันแรกที่เราตะโกนใส่หน้ากัน แต่วันนั้นเป็นวันแรกที่เค้าเป็นฝ่ายขุดคุ้ยเอาเรื่องของธรรม์ขึ้นมาพูดกับฉันก่อน ลัลรู้มั้ยมันเจ็บปวดมากแค่ไหน ฉันรู้สึกอยากตายลงไปตอนนั้น ในนาทีนั้นเลยด้วยซ้ำ ดีกว่ายืนเผชิญหน้ากับความเจ็บปวดที่โหดร้ายทารุณนั่น ก่อนออกจากบ้านมา ฉันขอร้องโปว่า ถ้าหากยังมีความรู้สึกดีๆต่อกันหลงเหลืออยู่บ้าง อย่าขับรถที่เราซื้อด้วยกันให้คนอื่นของเค้านั่ง และอย่าพาคนอื่นของเค้าเข้าไปนอนในห้องที่เรานอนด้วยกัน เพราะฉันไม่ชอบใช้ของร่วมกับใคร”
“แต่แกกับเค้าก็ยังไม่ได้เลิกรากันไม่ใช่เหรอกล่อม บางทีพอใจเย็นลงแล้วอะไรๆมันคงจะดีขึ้นนะ”
“อาทิตย์นึงเต็มๆแล้วนะลัลที่ฉันออกจากบ้านมา มันมีอะไรดีขึ้นบ้าง ไม่มีเลยสักนิด ยิ่งฉันใจเย็นลงมากเท่าไหร่ ฉันก็ยิ่งรู้สึกได้ถึงความเจ็บปวดมากเท่านั้น แล้วก็ยิ่งทำให้ฉันรู้สึกอยากเกลียดโปมากขึ้นด้วย เมื่อคืนนี้เค้าคงนอนกอดอยู่กับคนอื่น คนอื่นที่ไม่งี่เง่า เรื่องมากเหมือนกับฉัน แล้วในชีวิตกว่าสามสิบปีที่ผ่านมาของเค้าน่ะ มีผู้หญิงสักกี่คนกันเชียวที่ยอมอดนอนนวดเท้าให้เค้าจนหลับได้ทุกคืนแบบฉันน่ะ ถึงฉันจะเป็นคนรักที่ไม่เอาไหนแต่ฉันก็พยายามที่จะทำมันให้ดีที่สุดแล้วนะ ถ้าหากเค้าเห็นว่ามันไม่มีคุณค่าฉันก็รู้สึกว่าไม่อยากที่จะทำมันอีกต่อไปแล้วล่ะ”
“กล่อม”
ลัลทอดปลายเสียงอย่างอาทร ลัลไม่อยากที่จะคาดเดาในการกระทำต่อไปของกล่อม บางทีความเจ็บปวดที่ถาโถมเข้าสู่ความรู้สึกของกล่อมตอนนี้ อาจจะทำให้ผู้หญิงตัวเล็กๆอย่างกล่อมเข้มแข็งมากขึ้นอย่างที่ไม่มีใครคาดถึง
“นั่นแกจะทำอะไรของแกน่ะ คิดให้ดีๆนะ”
“ฉันคิดดีที่สุดแล้วลัล อาทิตย์นึงที่ผ่านมา ไม่มีนาทีไหนเลยที่ฉันไม่ได้คิดทบทวนถึงความสัมพันธ์ระหว่างฉันกับโป ไม่มีเลยจริงๆ”
ซิมการ์ดถูกถอดออกจากมือถือ กล่อมจ้องมองมันอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะค่อยๆหย่อนมันลงในแก้วนมที่พร่องไปกว่าครึ่งแก้ว แม้รู้ว่าสามารถที่จะขอซิมการ์ดใหม่ซึ่งใช้ได้กับเบอร์เดิมจากศูนย์บริการ แต่ลัลเชื่อว่าคนที่เกลียดความยุ่งยากและการเสียเวลารอคอยอะไรนานๆอย่างกล่อม เป็นไปได้ยากที่เธอจะเดินทางไปที่ศุนย์บริการเพื่อยื่นขอคำร้องนั้น เพียงเพราะความคาดหวังลมๆแล้งๆว่าโปจะติดต่อกลับมาที่เบอร์เดิม
กล่อมยืนมองเงาตัวเองในกระจกอย่างอารมณ์ดี สีผมที่อ่อนลงทำให้ใบหน้าของเธอดูสดใสมากขึ้น ยิ่งได้ช่างแต่งหน้าฝีมือดีอย่างลัลช่วยเติมสีเครื่องสำอางลงไปนิดหน่อย ยิ่งทำให้กล่อมดูสวยและอ่อนหวาน ไม่เหลือเค้าของคนอกหักให้ใครเห็น รอยยิ้มของกล่อมทำให้ลัลพลอยรู้สึกดีตามไปด้วย
“พาฉันไปตลาดน้ำหน่อยสิแก ฉันอยากกินก๊วยเตี๋ยวเรือ”
“อะไรนะ?”
กล่อมหัวเราะคิกเมื่อเพื่อนร้องถามซ้ำอย่างแปลกใจ และทำตาโตอย่างไม่เชื่อหูของตัวเอง
“พาฉันไปตลาดน้ำหน่อย ได้ยินชัดมั้ยยัยลัล”
หนนี้กล่อมแกล้งตะโกนใส่หูลัลดังๆแล้วหัวเราะลั่น
“แกจะไปตลาดน้ำทั้งชุดนี้จริงๆน่ะเหรอ แกจะเปลี่ยนใจก็ยังทันนะกล่อม เสื้อผ้าฉันแกก็ใส่ได้นี่หว่า ถือว่าฉันขอร้องก็ได้นะ”
แต่ไม่ว่าลัลจะออดอ้อนขอร้องให้กล่อมเปลี่ยนเสื้อผ้ายังไง กล่อมก็ยังคงยืนกรานที่จะไปเดินเล่นที่ตลาดน้ำด้วยชุดมินิสเกิร์ตหนังสีน้ำตาลตัวสั้นกับเสื้อกล้ามสีขาวลายสวย ซึ่งเป็นชุดเดียวกันกับเสื้อผ้าที่เธอในคืนที่เมามาย ลัลกลัวว่าแม่ค้าพ่อค้าจะเป็นตากุ้งยิงกันทั้งคลองแต่ก็ไม่อาจทัดทานความดื้อรั้นของกล่อมได้
“เผื่อจะมีฝรั่งตาบอดมาจีบฉันมั่งไงล่ะแก”
กล่อมแกล้งเย้าแหย่เพื่อนขณะเดินออกมาเปิดประตูรั้วหน้าบ้าน รถโฟล์คสีขาวคนหนึ่งที่เพิ่งขับมาจอดตรงหน้าฉุดดึงให้เธอต้องช้อนสายตาขึ้นมอง ทันทีที่เห็นชายหนุ่มที่นั่งอยู่ในตำแหน่งคนขับ กล่อมก็หันหลังเดินก้าวเท้าเร็วๆกลับเข้าไปในบ้าน
“กล่อม คุยกันก่อนสิกล่อม”
“กล่อมคงยังไม่ต้องการเห็นหน้านาย มาทำไมป่านนี้ รู้ก็รู้ว่ากล่อมไม่ชอบที่จะรอคอยอะไรนานๆ”
น้ำเสียงแข็งๆของลัลชะงักฝีเท้าของโปที่กำลังจะถือวิสาสะก้าวตามกล่อมเข้าไปในบ้าน ลัลไม่สนใจว่าตลอดระยะเวลาหลายวันที่ไม่ได้ติดต่อกันเลยนั้น โปจะรู้สึกคิดถึง เป็นห่วง ว้าวุ่น สับสน ปวดร้าวบ้างรึเปล่า แต่เธอเห็นอยู่กับตาว่าเพื่อนของเธอเจ็บปวดมากแค่ไหน และเธอก็ไม่อาจดูดายได้ลงคอ
“ขอเข้าไปคุยกับกล่อมได้มั้ย”
ลัลรุ้สึกเห็นใจเขาอยู่ไม่น้อยเหมือนกัน อย่างน้อยเขาก็น่าจะได้รับการให้อภัยในฐานะที่เพิ่งทรยศต่อคำว่าคนรักของกล่อมเป็นครั้งแรก แต่เธอไม่สามารถตัดสินใจแทนเพื่อน
“ขอร้องล่ะนะ กว่าเราจะตามหากล่อมเจอแทบแย่ เรารื้อค้นหาทางติดต่อกับเธอจากสมุดหนังสือของกล่อมจนบ้านรกไปหมด กว่าจะได้ที่อยู่ของเธอจากนามบัตรที่สอดอยู่ในหนังสือเล่มเล็กๆที่เธอซื้อให้กล่อมเป็นของขวัญวันเกิดเมื่อหลายปีก่อน ก็เสียเวลาไปหลายวัน ขอให้เราได้คุยกับกล่อมเถอะนะ”
“เดี๋ยวเราจะไปถามกล่อมให้ละกันนะ”
ลัลตั้งใจล็อคประตูรั้วไว้อย่างเดิม เพื่อเป็นการบ่งบอกว่าโปไม่ควรบุกรุกเข้าไปข้างในบ้าน ถ้าหากกล่อมไม่ได้อนุญาติ เพราะภายในพื้นที่ไม่กี่สิบตารางเมตรนั้นไม่ได้เป็นเพียงบ้านของลัลเท่านั้น แต่มันยังเป็นพื้นที่ส่วนตัวของกล่อมด้วย
นานเหลือเกินในความรู้สึกของโป กว่าลัลจะเดินกลับออกมาอีกครั้ง พร้อมกับยื่นมือถือของตัวเองให้กับโป
หน้าจอมือถือมีรอยหยดน้ำเปื้อนอยู่ก่อนแล้วเพราะหยดน้ำตาของคนที่พิมพ์ข้อความ แม้ว่าคนอ่านจะไม่ได้ทำหยดน้ำตาของตัวเองหล่นลงไปซ้ำ แต่ข้อความพวกนั้นก็ทำให้โปรู้สึกไม่อยากที่จะยืนอยู่ตรงนั้นอีกต่อไปแม้แต่วินาทีเดียว
...ขอโทษที่อ้อมแขนของฉันกอดคนอื่น แต่หัวใจของฉันมีไว้เพื่อรักเธอเท่านั้น และฉันก็ใจแคบเกินกว่าที่จะใช้คนที่ฉันรักร่วมกับคนอื่นเช่นกัน...
แม้ว่ามือถือจะถูกส่งคืนให้กับลัลไปนานหลายนาทีแล้ว แต่ตัวหนังสือที่กล่อมพิมพ์ฝากมาให้เขาอ่านก็ยังคงตามมาปรากฏตรงหน้าของโป ชายหนุ่มค่อยๆเหยียบคันเร่งแรงขึ้น เพื่อที่จะให้ตัวหนังสือพวกนั้นตามเขาไม่ทัน แต่ไม่ว่าโปจะเพิ่มความเร็วให้กับรถสักแค่ไหน เขาก็ไม่สามารถหนีพ้น เพราะสิ่งที่เขากำลังพยายามเอาชนะคือความรู้สึกผิดบาปของตัวเองที่คิดแก้แค้นเอาคืนกับการกระทำของกล่อม โดยที่ไม่ทันได้ฉุกคิดว่านั่นคือการทำร้ายคนที่รักเค้าอย่างรุนแรง และทำร้ายหัวใจของตัวเองไปพร้อมๆกัน
ทันทีที่กล่อมก้าวออกจากบ้านวันนั้น โปก็ออกปากไล่ผู้หญิงขี้เหงาที่ตามไปนั่งเฝ้าเขาที่ร้านเหล้าแทบทุกคืนคนนั้นกลับไป เขาไม่ได้ไปหลับนอนกับเธออย่างที่บอกกับกล่อม สองคืนที่เขาหายไปเพราะเมามายอยู่กับเพื่อนด้วยความปวดร้าวที่ได้รู้ว่าคนที่รักเขา เอาใจใส่เขาอย่างดีมาตลอดห้าปีอย่างกล่อมมีคนอื่นอยู่ตลอดเวลา มันทำให้ความเชื่อมั่นว่า เขาไม่มีวันที่จะสูญเสียกล่อมให้กับคนอื่นที่เคยมีตลอดมาพังทลายลงอย่างราบคาบ
...สิ่งที่กล่อมทุ่มเทให้กับเขาตลอดมา ทำให้เขาประเมินคุณค่าของตัวเองสูงเกินไป...
จิตสำนึกสุดท้ายของโปบอกอย่างนั้น ก่อนที่แรงกระแทกจะทำให้ถ้อยคำของกล่อมที่ตามหลอกหลอน และความรู้สึกสำนึกผิดทั้งหมดทั้งมวลที่ถาโถมเข้าใส่เขา กระจัดกระจายไปพร้อมๆกับร่างไร้สติที่ฟุบลงหลังพวงมาลัย
..... ..... .....




All Rights Reserved.
2006 Copyright©Nanthanatcha Cheusuwan
------------------------------------------

วันเสาร์, ธันวาคม 09, 2549

อยู่ห่างๆอย่างเหงาๆ

ระหว่างฉันกับเธอ
คนสองคนที่ผูกพันกันไว้ด้วยเงื่อนไขของคำว่า”คนรัก”
มักมีความขัดแย้งเกิดขึ้นเสมอ เมื่อเกิดความไม่เข้าใจขึ้นระหว่างซึ่งกันและกัน
ยิ่งพูดคุยกัน ยิ่งรู้สึกเหมือนคุยกันคนละภาษา
ต่างคนต่างไม่ยอมกัน ต่างมีเหตุผลที่ถูกต้องเป็นของตัวเอง
ฉันไม่ชอบการทะเลาะเบาะแว้งถกเถียง
เพราะฉันผิดไม่เป็น
เธอเป็นคนบอกกับฉันเอง เวลาที่เถียงกัน
แล้วฉันก็คงเป็นคนรักที่ไม่เอาไหน เพราะไม่เคยยอมลงให้เธอเลยสักครั้ง
และทุกครั้งจะจบลงที่เธอเป็นฝ่ายขอโทษ ด้วยความอ่อนใจ
แล้วบ่นให้ฟังอีกยาวเหยียดเมื่อฉันหายโกรธ

เมื่อต่างคนต่างเหนื่อยกับความสัมพันธ์แบบนี้
ครั้งนี้เธอจึงไม่ขอโทษ และฉันไม่ยอมหายโกรธ
อยู่ห่างๆกันสักพักคงเป็นทางออกที่ดีที่สุด
สำหรับเธอ มันคงไม่ยากนัก
แต่สำหรับฉันแล้ว มันไม่ใช่เรื่องง่ายเลย
การใช้ชีวิตทุกๆวันโดยไม่คิดถึงเธอ
อากาศเย็นๆแบบนี้จะไม่เป็นห่วงได้ยังไง
ไม่ต้องห่มผ้าให้ ไม่โทรถามว่าเหนื่อยมั้ย จะมีใครคอยนวดให้เธอหายเมื่อยบ้าง
ไม่ง่ายนัก ที่จะตัดความคิดพวกนี้ออกจากสมองและหัวใจ
แต่ฉันจะพยายาม
เพราะบางทีเราอาจจะไม่ได้เกิดมาเพื่อซึ่งกันและกัน
บางทีเราอาจจะเป็นเพื่อนกันดีกว่า
ระยะเวลาจะเป็นตัววัดว่าระหว่างเราสองคน
เกิดมาเพื่อผูกพันซึ่งกันและกันไว้ด้วยเงื่อนไขใด


All Rights Reserved.
2006 Copyright©Nanthanatcha Cheusuwan
------------------------------------------

วันพฤหัสบดี, ธันวาคม 07, 2549

พรุ่งนี้ที่เธอรอ



พรุ่งนี้ที่เธอรอ
ใบข้าว เขียน

เพื่อนสนิทของฉันคนนึง เป็นคนที่รอคอยการมาของพรุ่งนี้อยู่เสมอ เพราะเธอเชื่อว่าวันใหม่ เดือนใหม่ และปีใหม่ จะนำพาสิ่งใหม่ที่ดีดีเข้ามาสู่ชีวิตของเธอ เธอจึงรอคอยด้วยความเชื่อนั้น โดยที่เธอไม่เคยที่จะก้าวออกไปให้ไกลกว่าเดิมเลย ทั้งๆที่บางทีสิ่งดีดีที่เธอรอ อาจอยู่ตรงหน้า รอแค่ให้เธอก้าวออกไปหาอีกเพียงก้าวเดียวเท่านั้น
ฉันไม่รู้ว่าความฝันของเธอคืออะไร เพราะเวลากว่าสิบปีที่เรารู้จักกัน ฉันไม่เคยเห็นเธอทำอะไรเพื่อไล่คว้าความฝัน ไม่เคยเอ่ยให้ได้ยินว่า เธออยากเป็นอะไร ฉันเห็นเธอใช้ชีวิตไปเรื่อยๆ เธอเลือกเรียนในคณะที่เธอคิดว่ามันง่ายและเหมาะกับเธอ เธอไม่ได้คิดว่าถ้าจบมาแล้วจะทำงานอะไร สิ่งที่เธอต้องการคือใบปริญญาเพื่อหางานทำ โดยไม่ทันคิดว่าคณะที่เรียนน่ะ มีคนเรียนและจบออกมามากที่สุด และมีคนจบคณะนี้ว่างงานมากที่สุดเช่นกัน เธอใช้ชีวิตง่ายๆจนดูไร้จุดหมาย บางครั้งฉันก็รู้สึกอิจฉาเธอเหมือนกันนะ ที่ไม่ต้องเหนื่อยกับการวิ่งไล่คว้าความฝันอย่างฉัน ในขณะที่เธอหายใจทิ้งไปเรื่อยๆ ฉันก็หาสิ่งแปลกใหม่เติมให้กับชีวิต แม้บางทีสิ่งนั้นจะทำให้ฉันเจ็บปวดก็ตาม ฉันก็ไม่เคยรู้สึกเข็ดขลาดกับความผิดหวัง ฉันมักโดดเรียนไปเที่ยว เพื่อมองเมืองในมุมที่ต่างจากเดิม หรือไม่ก็นั่งอยู่กับกลุ่มเพื่อนผู้ชายเพื่อดูพวกเขาเล่นฟุตบอล ไม่ก็เล่นกีต้าร์อยู่ที่มหาลัยจนดึกดื่น เพื่อฟังข้อสนทนาแปลกๆ รู้ถึงมุมมองของผู้ชายที่มีต่อสิ่งต่างๆ ซึ่งต่างจากวงสนทนาประสาหญิงที่ฉันคุ้นชิน
ประโยชน์อย่างหนึ่งที่ฉันได้คือ เก็บเกี่ยวบรรยากาศมาใช้เป็นแรงบันดาลใจในงานนักเขียนที่ฉันใฝ่ฝัน ซึ่งสิ่งต่างๆที่ฉันทำเธอบอกว่ามันไร้สาระ เธอใช้เงินพ่อแม่อย่างสบายใจ ส่วนฉันต้งอาศัยงานพิเศษเพื่อค่าหน่วยกิต ฉันเต็มใจที่จะทำเพราะนอกจากเงินแล้ว ยังได้ประสบการณ์ของความลำบากอีกด้วย เมื่อฉันได้มีโอกาสเจอหน้าเธอ ฉันก็จะได้รับคำตักเตือนแนะนำด้วยความหวังดีเรื่องการเรียนเสมอ ทั้งที่ผลการเรียนของเธอกับฉันก็ดีพอๆกันมาตั้งแต่ไหนแต่ไร
...แต่ถ้าจะให้ฉันใช้ชีวิตในแบบเดียวกับเธอ ฉันคงทำไม่ได้หรอก เพราะรู้สึกว่าชีวิตมันไร้ค่ายังไงบอกไม่ถูก...
ฉันว่าในวันนี้ที่เรายังมีลมหายใจ เราน่าจะหาอะไรใส่ให้กับชีวิตบ้าง จะได้รู้ว่าบนโลกนี้ยังมีอะไรที่น่าสนใจอีกตั้งเยอะ นอกจากการไปเรียนเสร็จแล้วตรงดิ่งกลับบ้าน พบเจอแต่สถานที่เดิมๆ ผู้คนเดิมๆ ลองเปลี่ยนจากการฟังเพลงป๊อบหวานๆมาฟังเพลงเพื่อชีวิตดูสักครั้ง จะรู้ว่านอกจากเรื่องบอกรักบอกเลิก ยังมีสาระอื่นให้สัมผัสจากบทเพลง ฉันรู้นะว่าเธอเองก็เบื่อสิ่งเดิมๆของเธอ เพราะเธอจะรอคอยการมาของพรุ่งนี้ และหวังว่าการมาของพรุ่งนี้จะนำสิ่งดีดีมาสู่ชีวิตของเธอด้วย
แต่ฉันไม่เข้าใจว่าทำไม เธอถึงไม่ลองก้าวออกไปเพื่อแสวงหาสิ่งใหม่ๆให้กับชีวิตซะตั้งแต่วันนี้
.......... .......... ..........


ตีพิมพ์ครั้งแรก นิตยสาร i-spy

All Rights Reserved.
2006 Copyright©Nanthanatcha Cheusuwan
------------------------------------------

วันอังคาร, ธันวาคม 05, 2549

บ่อน้ำตาตื้น

ฉันเป็นคนบ่อน้ำตาตื้น

จึงน้ำตารื้นง่ายๆกับเรื่องราวเหลวไหล

แค่ดูหนังเรื่องเก่า ฟังเพลงปวดเปล่า ก็สะเทือนใจ

ไม่มีสาระอะไรซ่อนเร้นอยู่ในหยดน้ำตา

อย่าเปลืองเวลาถามไถ่ เซ้าซี้

เพราะคำตอบที่มีคงไม่ลดทอนความปวดปร่า

แต่ยังไงก็ขอบใจที่เคยใช้เวลาดีดีร่วมกันมา

แม้มีฉันเพียงลำพังที่เหว่ว้าในนาทีจากลา...ก็ยินดี


All Rights Reserved.
2006 Copyright©Nanthanatcha Cheusuwan
--------------------------------------

วันจันทร์, ธันวาคม 04, 2549

Love you,Love your dog

ฉันไม่ใช่คนรักหมา ไม่เคยมีความคิดอยากเลี้ยงหมาอยู่ในสมอง เพราะฉันเห็นว่ามันแสนจะน่ารำคาญและมีนิสัยน่าเกลียด ความน่ารำคาญก็อย่างตอนที่เป็นหมาเด็กอ่ะ... มันชอบส่งเสียงร้องหงิงๆเวลาคนจะนอนแล้วใครจะไปหลับลงล่ะ มัดปากไว้ด้วยเชือกแล้วก็ยังหยุดยั้งเสียงมันไม่ได้ พอโตขึ้นมาเป็นหมาผู้ใหญ่ก็ชอบเห่ามั่วตั้ว แถมฟังภาษาคนไม่รู้เรื่องอีกต่างหาก (ก็มันเป็นหมานี่หว่า...) จนเค้าพูดกันว่าหมาชอบเห่าใบตองแห้งไง ความน่าเกลียดของมันก็คือชอบเลียหน้าคน ไม่รู้ตัวบ้างรึไงนะว่าน้ำลายน่ะเหม็น ฉันก็เลยไม่ชอบเล่นกับหมาเพราะไม่อยากโดนหมาเลียปาก
แต่แล้ววันหนึ่ง ฉันก็ถูกมัดมือชกให้เลี้ยงหมา (โอ้ว...จอร์จมันแย่มากเลย) ชีวิตต้องประสบวิบากกรรมครั้งใหญ่ เมื่อสุดที่รักของฉันกระเตงเอาน้องหมามาฝากเลี้ยง เพราะต้องไปทำงานต่างจังหวัดนานถึงสองเดือน ด้วยความที่ไม่อยากพาน้องหมาไปลำบากลำบนขาดคนดูแล ก็เลยเอามาฝากไว้ในความดูแลของคนที่ไว้ใจที่สุดคือฉัน โหย...ปลื้ม น้ำตาแทบไหลเป็นสายเลือดเลยฉัน หาเหตุผลมาขับไล่ไสส่งภาระอันน่าขยะแขยงนี้สารพัด แต่แล้วในที่สุดก็พ่ายแพ้ต่ออานุภาพของความรัก กัดฟันรับน้องหมามาดูแล เอาประโยค Love you,Love your dog เข้าข่ม
น้องหมาของสุดที่รักชื่อ ปุ๊กกี้ (ทั้งที่มันเป็นผู้ชายเนี่ยนะ) ตัวเล็ก หน้าสั้น สายพันธุ์อะไรก็ไม่รู้ ด้วยความไม่อยากรู้จักมักจี่ของฉันน่ะแหละ ที่เป็นผลให้ฉันไม่ได้เว้นรอยหยักในสมองไว้สำหรับอะไรก็ตามที่เกี่ยวข้องกับหมา ทั้งที่มีปรมาจารย์หมาอย่างสุดที่รักคอยพร่ำกรอกหูอยู่ทุกวี่ทุกวัน
พื้นเพเดิมของปุ๊กกี้เป็นหมาผู้ดี นอนห้องแอร์ กินแต่อาหารอัดเม็ดสำเร็จรูป ต้องอาบน้ำแปรงขนทุกวัน ทำสวย เริ่ด เชิด หยิ่ง จนฉันหมั่นไส้ พอมันตกมาอยู่ในเงื้อมมือฉัน ชีวิตของมันก็พลิกผันทันที ปุ๊กกี้ได้ลิ้มรสชาติเดิมๆของอาหารหมาแค่สองมือเท่านั้นแหละ ทั้งที่เจ้าของมันหอบหิ้วมาทิ้งไว้ให้ตั้งกระสอบ เพราะฉันสรุปเอาเองว่ามันคงเริ่มเบื่อความจำเจของแต่ละมื้อแล้วและจัดการเทกับข้าวที่เหลือๆ (บางทีมีบูดด้วยนะ ขอบอก...) เทรวมกันคลุกข้าวให้มันกิน มื้อแรกปุ๊กกี้นั่งจ้องชามข้าวอยู่นานมากราวกับจะพยายามสะกดจิตให้ข้าวเน่าๆในชามกลายเป็นอาหารหมาของโปรดให้จงได้ ก้มลงไปดมแล้วดมอีกจนแน่ใจว่าฝันไม่มีทางเป็นจริง ก็หลับหูหลับตากินด้วยความยอมรับในชะตากรรม
แต่ฉันก็ไม่ได้ใจร้ายไส้ระกำถึงขั้นให้ปุ๊กกี้กินข้าวเน่าแกงบูดทุกมื้อหรอกนะ ก็แหม... ปุ๊กกี้มีตำแหน่งเป็นถึงหัวแก้วหัวแหวนของสุดที่รักเชียวนะ ขืนมันเป็นอะไรไปคามือฉันล่ะก็สัมพันธ์สวาทคงขาดสะบั้น ดังนั้นบางมื้อฉันก็เอาข้าวหุงสุกใหม่ๆคลุกกับแกงเผ็ดร้อนๆให้ปุ๊กกี้ กลิ่นงี้หอมหวนชวนกิน มันก็รี่เข้าไปขย้ำกินอย่างไม่รีรอ แล้วฉับพลัน...ก็ร้องเอ๋งๆเพราะเจอความเผ็ดร้อนเข้าไปเต็มปาก (ไอ้หมาโง่เอ๊ย...) ปุ๊กก๊ถอยกรูดออกมาตั้งหลักอยู่แป๊บนึง ก่อนจะก้าวเข้าไปหาชามข้าวอีกครั้ง ทิ้งระยะห่างประมาณครึ่งเมตร หมอบลงแล้วตั้งหน้าตั้งตาเห่าอย่างเอาเป็นเอาตาย มันคงเห็นชามข้าวมื้อนั้นเป็นศัตรูตัวร้าย จะกัดก็ไม่ได้เดี๋ยวปากพอง เลยทำตัวเป็นหมาเห่าข้าวร้อนไปซะงั้น
ปุ๊กกี้มาอยู่บ้านฉันได้หลายวัน แต่มันก็ไม่เห็นวี่แววว่าฉันจะเรียกอาบน้ำสักที นอนรอในห้องน้ำก็แล้ว เสนอหน้าตอนล้างรถก็แล้ว ยังไม่เป็นผลสำเร็จสักที เหมือนปุ๊กกี้จะเริ่มเรียนรู้แล้วว่าอยู่บ้านฉันต้องใช้ชีวิตแบบบุฟเฟ่ต์ อยู่มาวันหนึงปุ๊กกี้ก็พบว่ามีสวนน้ำ สวนสนุกสำหรับมันอยู่หลังบ้าน เป็นสวนมะนาวของบ้านฉันเอง มีท้องร่องน้ำลึกไม่ถึงเมตร มันลงไปวิ่งคึ่กๆในท้องร่องนั่นแหละ ด้วยความอดรนทนรอฉันจับอาบน้ำไม่ไหวมั้ง ลงไปดำผุดดำว่าย อาบน้ำดิน แช่น้ำโคลนอยู่ครึ่งต่อนวัน แล้ววิ่งแร่เอาเนื้อตัวที่เต็มไปด้วยโคลนตมเหม็นๆมาอวดอย่างหน้าชื่นตาบาน แต่ฉันงี้ลมแทบใส่ เพราะนึกภาพสุดที่รักมาเจอน้องหมาของเค้าในสารรูปนี้แล้วสยอง ต้องกุลีกุจอจับมันมาอาบน้ำล้างกลิ่นโคลนสาบหมาเน่าให้จ้าละหวั่น ปุ๊กกี๊ออกอาการติดอกติดใจสวนน้ำหลังบ้านด้วยการแอบไปบ่อยๆ แรกๆก็ไปตัวเดียวลำพัง พอระยะหลังเริ่มมีพวก ทำตัวเป็นหัวหน้าแก๊งพาบรรดาหมาๆของเพื่อนบ้านไปสนุกกันเนขบวน เฮ้อ...รู้งี้อาบน้ำให้มันไปนานแล้ว จะได้ไม่ต้องทนอาบน้ำให้สกั้งกลับกลายร่างเป็นหมาเหมือนเดิม
ทั้งที่ปุ๊กกี้เป็นหมาที่น่ากลั่นแกล้งที่สุดในละแวกนั้น แต่น่าแปลกที่มันกลับสนทสนมกลมเกลียวกับพวกหมาตัวโตๆของเพื่อนบ้านเป็นอย่างดี ทั้งๆที่เคยเห็นเวลามีหมาพลัดถิ่นเข้ามาในรัศมีการปกครอง เจ้าพวกนี้จะไล่ฟัดเละเป๊ะทุกที แต่มันกลับปล่อยให้ปุ๊กกี้ลอยนวล ลอยหน้าลอยตา ยืดอกเข้าบ้านนี้ออกบ้านนั้น ขอข้าวขอขนมประจบประแจงเค้าไปทั่วจนฉันแทบจะต้องมุดแผ่นดินหนีหน้าประชาชีละแวกบ้าน ด้วยความอับอยเพราะคำครหาเลี้ยงหมาอดๆอยากๆ ฉันก็เลยต้องสรรหาขนมดีๆมาให้มัน แล้วตะโกนเรียกให้ได้ยินกันทั้งตำบลว่า ...ปุ๊กกี๊มากินป๊อกกี้มา เร็ว...ให้มันรับรู้โดยทั่วหน้าว่าขนมดีๆบ้านฉันมี แต่ไม่อยากให้ปุ๊กกี้กินอ่ะ...มีอะไรมั้ย แบบว่าหมั่นไส้ในความเป็นหมาผู้ดีของมันเท่านั้นเอง
พ่อแม่พี่น้องที่โดนบังคับขู่เข็ญให้ลองลิ้มชิมรสอาหารที่ฉันทำยามครื้มอกครื้มใจ ต่างพูเป็นเสียงเดียวกันว่า ไม่เอาถ่านเสียเลย!!! (ก็แน่ล่ะ...ในเมื่อฉันใช้เตาแก๊ส) แล้วฉันก็ต้องนั่งกล้ำกลืนฝืนกินด้วยความเสียดายหมู เห็ด เป็ด ไก่ ที่ฉันจับมาปู้ยี่ปู้ยำ พอมีปุ๊กกี้มาอยู่ด้วยฉันก็เกิดความคึกคะนองลองทำอาหารขึ้นมาอีก ขวนขวายหาสูตรข้าวผัดอเมริกันมาอย่างดิบดี ลงมือทำ ปรุงตามสูตรที่เค้าว่าไว้ในตำราเป๊ะๆ พอทำสร็จก็ภูมิอกภูมิใจเป็นอย่างยิ่ง เพราะหน้าตาน่าทานมากๆ กลิ่นหอมฟุ้งจนข้างบ้านร้องทักเชียวล่ะ กะว่าประเดี๋ยวจะตักไปอวดสักจาน แต่ขอชิมฝีมือตัวเองก่อนนะ แค่คำแรกเท่านั้น ฉันก็ได้พบสัจธรรมของความกินไม่เข้า รีบคายออกมาแทบไม่ทัน ไม่รู้สูตรเค้าไม่ดีหรือฝีมือฉันมันห่วยจนสุดกู่ก็ไม่แน่ใจ รสชาติถึงได้ออกมาพิกลพิการจนไม่สามารถอธิบายได้ แต่ฉันก็ยังมีความหวังเมื่อหันไปเห็นปุ๊กกี้นั่งลอยหน้า กระดิกหางดิกๆรออย่างใจจดใจจ่อมาตั้งแต่ฉันเริ่มลงมือทำ (คือมันยังไม่ได้กินข้าวอ่ะนะ...เรื่องของเรื่อง) ฉันก็รีบใจดียกไปเทให้มันทั้งกระทะ ปุ๊กกี้รีบปราดเข้าไปกิน แต่ไม่รู้เคี้ยวภาษาอะไรข้าวร่วงออกมาหมด มันก้มลงไปกินอีกแต่ก็เหมือนเดิม เหมือนมันจะเลียๆเม็ดข้าวค้นหาความอร่อย แต่เมื่อไม่พบ มันก็ถอยออกไปนอนมองทำตาละห้อย ส่ายหางดิกๆคล้ายพยายามจะบอกว่า ...หนูพยายามแล้วนะ...แต่ไม่ไหวจริงๆ... หน้ามันงี้ดูออกเลยว่าผิดหวังแบบสุดๆคะยั้นคะยอแทบตายมันก็เมินหน้าหนี ฉันงี้อยากเตะมันสักป๊าบจริงๆโทษฐานมาการันตีว่าฝีมือการทำอาหารของฉันเลิศเสียจนสุนัขไม่รับประทานดีนัก
ไม่รู้ว่าถ้าปุ๊กกี้พูดได้ มันจะฟ้องเจ้าของมั้ยว่าระหว่างสองเดือนที่อยู่กับฉัน ชีวิตมันผจญอะไรมาบ้าง นี่ถ้าไม่ได้ความเอ็นดูจากแม่ที่เจียดเวลามาเอาใจใส่มันและคอยห้ามไม่ให้โดนรังแก ปีกกี้คงเหลือแต่ซากไว้อวดเจ้าของ ตอนที่มันเห็นหน้าสุดที่รักของฉันที่มารับกลับไปสู่ความเป็นหมาผู้ดีนะ หูย...กระโดดตัวลอยแบบดีใจสุดๆแต่มีคนดีใจกว่ามันอีกนะ ก็ฉันไง! เหมือนได้ยกเอาภูเขาหิมาลัยออกจากอก หมดเวรหมดกรรมกันซะที...ดีใจจัง
แต่พอปุ๊กกี้ไม่อยู่ ชีวิตฉันมันก็ดูขาดๆเกินๆยังไงชอบกล ไม่กล้ากินกับข้าวหมด กลัวไม่มีคลุกข้าวทั้งที่ไม่รู้จะให้ใครกิน คันไม่คันมือจนต้องยืมหมาข้างบ้านมาอาบน้ำ แลกกับการโดนมันเลียหน้าเลียปาก ผ่านซุปเปอร์มาร์เก็ตเมื่อไหร่ก็อดที่จะแวะซื้อขนมกูลิโกะไม่ได้ ทั้งที่ไม่มีคนที่บ้านชอบกิน อดรนทนสมเพชตัวเองได้ไม่กี่วัน ฉันต้องรีบแจ้นไปบอกสุดที่รักว่า...
“ตัวเอง หาหมาให้เค้าเลี้ยงตัวนึงสิ...”

.............................
"ใบช้าว" เชียน ตีพิมพ์ครั้งแรก นิตยสาร 'm fine


All Rights Reserved.
2006 Copyright©Nanthanatcha Cheusuwan

วันอาทิตย์, ธันวาคม 03, 2549

เคยไหม...ในคืนหนาว


เคยไหม...สักเศษเสี้ยวของคืนหนาว

ที่ฉันสามารถก้าวเข้าไปใน”ความคิดถึง”

ในฐานะคนเคยคุ้น เคยแลกความอบอุ่นคนนึง

แม้ไม่ลึกซึ่ง ครอบครองได้ไม่ถึงเศษของครึ่งใจ

หากไม่เคยเลย ก็ไม่ว่า

ก็รู้ดีนี่นา เธอไม่ผูกพันสักเท่าไหร่

เป็นฉันลำพังที่ยังฝังจิตฝังใจ

ไม่ว่าคืนหนาว หรือคืนไหน

เธอก็ก้าวเข้ามาในความคิดถึงได้ทุกคืน
..... ...... ...... ...... ......
"ใบข้าว " เขียน
ตีพิมพ์ครั้งแรก นิตยสาร ‘m fine
All Rights Reserved.
2006 Copyright©Nanthanatcha Cheusuwan

วันศุกร์, ธันวาคม 01, 2549

แค่...คนอื่น


ฉันเป็นได้แค่”คนอื่น”

มีความสำคัญเพียงชั่วคืน ชั่วตรั้ง

รู้อยู่เสมอว่าเธอมีคนที่จีรัง

ฉันก้อแค่คนที่เผลอพลั้ง เมื่อครั้งที่ผิดใจกัน

ไม่อยากเป็นต้นเหตุให้ใครต้องลำบาก

ตอนมาง่าย ตอนจากก้อควร”ง่าย”แบบนั้น

หนึ่งคืนของคนเหงา ไม่อาจเอามาสานเป็นผูกพัน

อย่าทวงถามถึงคืนวันให้ฉันต้องลำบากใจ

ที่ฉันมีน้ำตา ก้อแค่รู้สึก”ใจหาย”

เมื่อความจริงที่กระจัดกระจายถูกรวบรวมขึ้นใหม่

แล้วพบว่า...เธอต้องกลับไปหาคนที่คุ้นใจ

ส่วนฉันต้องใช้ชีวิตต่อไปอย่าเปล่าไร้เช่นเดิม
...... ...... ......
"ใบข้าว...เขียน" ตีพิมพ์ครั้งแรกที่นิตยสาร'm fine
All Rights Reserved.
2006 Copyright©Nanthanatcha Cheusuwan