วันอังคาร, กรกฎาคม 24, 2550

พัทยา...ฮาเฮ

แม้ว่าจุดประสงค์หลักของการไปพัทยาในครั้งนี้จะบั่นทอนบรรยากาศอันควรจะรื่นเริงของการไปทะเลไปมากโข แต่พลพรรครักความหรรษาอย่างฉันกับเพื่อนร่วมงานอีกเจ็ดแปดคน ก็ไม่ย่อท้อต่อการแสวงหาความสุขเล็กๆน้อยๆใส่ตัวจากการเดินทาง
พวกเราออกเดินทางด้วยรถตู้มุ่งหน้าสู่พัทยาตอนทุ่มกว่า ความเคร่งเครียดจากการทำงานมาทั้งวัน บวกกับความโหยหิวจนไส้กิ่วของฉันทำให้หมดกะจิตกะใจที่จะหาความบันเทิงใส่ตัวในคืนแรกของการไปถึง พอเช็คอินได้ ก็สลบไศล หลับเป็นตายจนรุ่งเช้า
หลังจากที่ได้อิ่มหนำกับบุฟเฟ่ต์อาหารเช้าแบบนานาชาติของดุสิตธานีแล้ว ฉันกับเพื่อนก็เริ่มสอดส่ายสายตาทำท่าจะคว้าหนุ่มสาวตาน้ำข้าวที่เดินอยู่เกลื่อนกลาดมายากระเพาะสักสามสี่คน แต่ความบันเทิงเริงใจที่ยังไม่ได้เริ่มต้นก็มีอันต้องปี้ป่นย่อยยับ เมื่อเจ้านายประกาศเส้นตายให้ทุกคนไปถึงห้องสัมมนาของโรงแรมที่จองไว้ภายในสิบนาที ...เพิ่งจะสำนึกได้ เจ้านายไม่ได้พาพวกเรามาเที่ยวนี่หว่า แค่พามาเปลี่ยนบรรยากาศของการประชุมงานเท่านั้นเอง
พวกเราเดินออกห้องประชุมตอนห้าโมงเย็นกว่าๆในสารรูปที่คล้ายไปออกรบมาสักเจ็ดสมรภูมิ หน้ามืดตาลายคล้ายจะขาดใจตายในอีกไม่กี่วินาทีข้างหน้า ไม่ได้มีสาเหตุมาจากความโหยหิว ท้องไส้มันลืมเวลากินข้าวเย็นเพราะการประชุมแบบปิดประตูตีแมวของเจ้านาย นอกจากจะแอบหลบอู้ไม่ได้แล้วยังบังคับให้ปิดมือถืออีกต่างหาก กว่าจะตั้งหลักได้ ก็ตอนที่เจ้านายพาพวกเรามานั่งหรูหราอยู่ในร้านอาหารริมทะเลเป็นการปลอบขวัญ มืดมิดจนมองไม่เห็นอะไร พวกเราก็เลยไม่ตื่นเต้นกับได้โต๊ะที่ติดกับทะเล ทรมานใจกันมาทั้งวันฉันก็เลยกระหน่ำกินซะให้สาสม แต่เจ้านายก็ไม่เปิดโอกาสให้ฉันเอาคืนได้นานนัก หักหาญน้ำใจกันอีกรอบ ด้วยการสั่งเช็คบิลด่วน แล้วนำขบวนเคลื่อนพลกลับขึ้นรถตู้ เมื่อรู้ว่ากำหนดโชว์อลังการที่ตั้งตาจะดู กำลังจะถึงเวลาเริ่มต้นอยู่รอมร่อ
พอลงจากรถตู้ได้ฉันก็ยิ่งคับแค้นใจ เจ้านายพาพวกเรามาที่ไหน ทำไมมันถึงได้ดูร้างผู้คนได้ขนาดนี้ ตรงบริเวณที่จอดรถมีแค่รถบัสขนาดใหญ่จอดอยู่สามสี่คัน แล้วดีกรีความเซ็งของฉันก็ยิ่งพุ่งปรี๊ดเข้าไปใหญ่ เพราะนอกจากจะมีราคาบัตร(ที่อุตส่าห์เลือกแบบไม่รวมอาหารแล้วนะ)ที่แพงแบบมหาบรรลัย แล้วยังห้ามถ่ายรูปอีกต่างหาก พอหลุดผ่านเข้าประตูไปได้ก็ต้องตื่นตาตื่นใจกับเด็กผมจุกในชุดไทยที่วิ่งไปวิ่งมา บรรยากาศรอบข้างทำให้รู้สึกราวกับว่าได้ย้อนเวลาเข้าไปอยู่ในยุคเมื่อหลายร้อยปีก่อน ระหว่างที่เข้านั่งรอชมการแสดงอยู่ในฮอลล์ พวกเราก็ลุกขึ้นยืนทำความเคารพเพลงสรรเสริญพระบารมีอย่างพร้อมเพรียง และเมื่อมองไปรอบข้างมีแต่สายตาของชาวต่างชาติที่มองเราแบบแปลกๆ แล้วพวกเขาก็ค่อยๆลุกขึ้นยืนบ้าง บางคนกว่าจะตั้งสติได้ก็เกือบจะจบเพลงแล้วด้วยซ้ำไป ทำให้อดไม่ได้ที่จะรู้สึกภูมิใจ ที่พวกเราได้ทำให้ชาวต่างชาติพลอยเคารพในสถาบันอันเป็นที่รักของเราด้วย
โชว์ของอลังการมุ่งเน้นที่จะแสดงให้เห็นถึงวัฒนธรรม ความเป็นอยู่ของคนไทยในสมัยก่อน ทั้งการหมั้นหมายสู่ขอ เรื่อยต่อไปจนถึงการรบทัพจับศึก จึงทำให้ฉันเลิกสงสัยว่าทำไมที่นี่ถึงได้มีแค่พนักงานเท่านั้นที่เป็นชาวไทย เพราะเพื่อนที่ไปด้วยกันยังแอบนั่งหาว ยกเว้นเจ้านายที่ดูเอ็นจอยมากที่สุด(ทั้งๆที่เป็นคนไทย เอ่อ... ไม่เข้าใจอ่ะ)
สำหรับฉันนับว่าคุ้มค่าเมื่อนำราคาบัตรที่ต้องจ่ายมาเปรียบเทียบกับการแสดงสองชั่วโมงกว่าที่ได้เห็นอีกรอบ เพราะโชว์ดีๆที่ขนช้างตัวเป็นๆมาให้เห็นกันแบบจะจะเป็นโขลงแบบนี้ คงไม่มีบาร์ไหนทำได้แน่ๆ และนับวันสิ่งดีๆที่เก่าแก่ก็มีแต่จะเลือนหายไป ไม่รู้ว่าเป็นเพราะวิถีชีวิตประจำวันหรือว่ากระแสจิตสำนึกของเรากันแน่ที่ก้าวออกห่างจากความรักในชาติบ้านเกิด น่าเสียดายที่คนไทยนึกได้แค่ชื่ออัลคาซ่าเมื่อถามหาสถานบันเทิงในพัทยา ดูเหมือนนอกเหนือจากชาวต่างชาติที่มากับกรุ๊ปทัวร์แล้ว พวกเราจะเป็นคนไทยเพียงกลุ่มเดียวที่แวะเวียนมาในรอบหลายนานของพวกเขา เพราะให้ความสนอกสนใจกับพวกเราเสียจนอยากจะฝากเพื่อนตัวกลมเอาไว้ให้เขาได้ฝึกด้วย พวกเราจะได้หาโอกาสแวะไปอีกบ่อยๆ
ระหว่างที่มุ่งหน้ากลับโรงแรมไม่มีใครพูดอะไร เพราะเจ้านายก็ยังไม่หายอิน ในขณะที่คนอื่นๆทำท่าขมขื่นเสียจนอยากจะอ้วกออกมาเป็นศาลาทรงไทย ให้มันได้ยังงี้ดิ...
เช้าวันที่สองของการประชุมและเป็นวันสุดท้ายที่พวกเราจะได้อยู่ที่พัทยา พวกเราหอบกระเป๋าสัมภาระลงมาเช็คเอ้าท์รอตั้งแต่แปดโมงเช้า ก่อนจะเดินคอตกเข้าห้องสังหารโหดตอนเก้าโมง กว่าจะได้เดินโสลเสลออกมาจากห้องประชุมก็ปาเข้าไปเกือบบ่ายสอง เจ้านายคงปราณีก็เลยตั้งใจที่จะบุ๊คเวลาใช้ห้องสัมมนาไว้แค่นั้น พอขึ้นรถตู้ได้ก็บอกคนขับให้มุ่งหน้าไปที่ร้านส้มตำขึ้นชื่อของพัทยาแบบด่วนๆ พอสมองหายมึนก็เริ่มหิวกันทั่วหน้า เพราะพวกเราพร้อมใจกันหิ้วท้องข้ามมื้อเที่ยงมา ระหว่างที่พวกเรากำลังกินกันอย่างล้างผลาญ เจ้านายก็นั่งหากิจกรรมมากระชับความสัมพันธ์อันดีอยู่แล้วของพวกเราให้แน่นแฟ้นขึ้นไปอีก ถ้าความรู้สึกนึกคิดส่งเสียงได้ เจ้านายจะรู้ว่าพวกเราทุกคนไม่เห็นด้วยเลยแม้แต่น้อย หัวจิตหัวใจมันลอยกลับกรุงเทพฯไปตั้งแต่เมื่อคืนนี้แล้ว
โชคดีที่กิจกรรมแอดเวนเจอร์อย่างเพ้นท์บอลที่เจ้านาย(อีกแล้ว)อยากเล่นปิดกิจการไปแล้ว (เพื่อนที่โทรติดต่อมันบอกว่าอย่างนั้น) แต่พวกเราก็ไม่อาจรอดจากพ้นจากความซาดิสม์เล็กๆของความคิดเจ้านายไปได้ พาพวกเราไปที่แหล่งรวมความบันเทิงตอนกลางวันของพัทยา ทำตัวเป็นหัวแก๊งพาพวกเราเล่นในสวนสนุกทั้งตะลุยเขาวงกตกระจกเงา เข้าไปนั่งดูหนังสามมิติ ชมของแปลกในพิพิธภัณฑ์ลิบลี่ย์ที่เล่นเอาฉันมึนไปเป็นเดือน เพราะดันไปอ่านคู่มืออย่างละเอียดเข้า แล้วไม่สามารถแยกแยะได้ว่าข้อมูลที่ได้อ่านมันจริงหรือหลอกกันแน่ ก่อนจะปิดท้ายที่โกดังผี ที่สร้างทั้งความเสียวความฮาให้พวกเราหยิบมานั่งเม้าท์ได้อีกหลายเดือน
โกดังผีที่สร้างความสยดสยองได้ตั้งแต่ด้านหน้าบริเวณที่ซื้อบัตรผ่านประตู มีกฎเหล็กอยู่ว่าจะมีเชือกขนาดใหญ่ให้หนึ่งเส้นเป็นเหมือนเครื่องรางของขลังที่ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม ห้ามปล่อยมือจากเชือกโดยเด็ดขาด พวกเราพร้อมทำตามอย่างว่าง่าย ยื้อแย่งตำแหน่งที่จะได้ยืนอยู่ในแถวกันอุตลุด ไม่รู้ด้วยความเต็มใจหรือเปล่า แต่เจ้านายของพวกเราก็ได้เป็นคนนำทาง ฉันเดินรั้งท้ายด้วยเหตุผลที่อาวุโสน้อยที่สุดในกลุ่ม (ยังงงจนถึงวันนี้ว่ามันมีส่วนเกี่ยวกันยังไง) เหลียวซ้ายแลขวา ไม่มีเพื่อนร่วมชะตากรรมให้อุ่นใจเลย พาลคิดไปว่านี่ถ้าเกิดการช็อกตายหมู่ขึ้นมาจะมีคนเข้ามาพบศพตอนไหน แต่เจ้านายก็ไม่ปล่อยให้ฉันได้คิดฟุ้งซ่านนานนัก ออกเดินดุ่มๆนำเข้าไปในโกดัง ไม่ปล่อยให้ทำใจกันมั่งเลย
ทั้งๆที่รู้อยู่เต็มอกว่าผีที่โผล่หน้ามาหลอกน่ะของเก๊ แต่บรรดาหญิงสาวซึ่งเป็นประชากรส่วนใหญ่ของพวกเราก็กรี๊ดลั่น อกสั่นขวัญแขวนกันทั่วหน้า ในขณะที่เจ้านายก็ตั้งหน้าตั้งตาดึงเชือกลากพาพวกเราเดินต่อไป และใช้โบรชัวร์ที่ถือติดมือมาปัดๆเขี่ยๆตรงหน้าผีที่โผล่มาหลอก ต้องมีเซ็งกันมั่งแน่ๆที่ดันมาเสียชาติผีกันง่ายๆ และไม่ไยดีแบบนี้ เป้าหมายหลักของผีทั้งหลายจึงอยู่ที่สี่ห้าคนตรงท้ายขบวน ไม่ขออธิบายว่าชุลมุนขนาดไหน แต่สรุปให้เข้าใจง่ายๆว่าตอนที่เดินออกมา ฉันมายืนอยู่หน้าขบวนได้ยังไงก็ไม่รู้ และในมือก็ยังคงถือเชือกเส้นเดียวกันกับเพื่อนๆอยู่แน่นอีกต่างหาก
พวกเราใช้เวลาชั่วโมงกว่าๆที่รถตู้พาพวกเรากลับเข้ากรุงเทพฯให้เป็นประโยชน์ด้วยการหลับใหลไม่ได้สติ พรุ่งนี้ยังมีหน้าที่การงานที่ออฟฟิศรออยู่ นึกขึ้นมาได้ก็อยากจะยื่นใบลาป่วย ลากิจ และพาลคิดสั้นไปถึงขั้นลาออกกับเจ้านายซะพร้อมๆกันในคราวเดียว แต่พอคิดอีกทีเจ้านายไม่จำเป็นต้องพาพวกเรามาไกลขนาดนี้เพียงเพื่อที่จะประชุมงาน ไม่จำเป็นต้องพาไปกินอาหารในร้านอร่อยๆชื่อดังทั้งหลายแหล่ และก็ไม่ต้องพาพวกเราไปเที่ยวเล่นเท่าที่เวลาจะอำนวยแบบนี้ด้วย ถ้าหากเขาเห็นพวกเราเป็นแค่ลูกจ้าง อย่างน้อยๆตอนนี้ก็มีฉันคนนึงล่ะที่เรียกเจ้านายว่า “พี่” แบบที่เจ้านายอยากได้ยินได้อย่างเต็มปาก เพราะเจ้านายได้พิสูจน์ตัวเองแล้วว่าไม่ว่าพวกเราจะอยู่ในสถานการณ์เลวร้ายรูปแบบไหน เจ้านายก็จะเป็นคนแรกที่เผชิญหน้ากับมันเสมอ

--------------------------------
" All Copyright©Nanthanatcha "